“ณัฐพงษ์” ตั้งกระทู้สดซัดรัฐบาล จ่ายเยียวยาช่วยประชาชนเหตุชายแดนไทย-กัมพูชา ล่าช้า ”ธีรรัตน์” ยัน 1 เดือนช่วยไม่มีสะดุด อนุมัติเงินแล้ว ไม่ใช่แจกกราด ต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์
วันนี้ (21 ส.ค.68) ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาฯ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาฯ ตั้งกระทู้ถามสดต่อมาตรการของรัฐบาลในการเยียวยาผลกระทบของประชาชน และผู้ประกอบการในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา หลังจากที่ลงพื้นที่รับฟังความเห็นของประชาชนที่เดือดร้อนพบว่าได้รับการเยียวยาไม่ทั่วถึงเท่าเทียม
โดย น.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวานิชย์ รมช.มหาดไทย ชี้แจงว่า การเยียวยาช่วยเหลือประชาชนรัฐบาลทำทันทีตั้งแต่การเกิดเหตุความขัดแย้ง จากการสำรวจความเสียหาย พบว่า จ.สุรินทร์ มีบ้านเรือนเสียหาย 107 หลัง ซ่อมแล้ว 58 หลัง อยู่ระหว่างซ่อม 49 หลัง จ.อุบลราชธานี บ้านเสียหาย 137 หลัง ซ่อมแล้ว 129 หลัง อยู่ระหว่างซ่อม 8 หลัง จ.บุรีรัมย์ บ้านเสียหาย 16 หลัง ซ่อมแล้ว 14 หลัง อยู่ระหว่างซ่อม 2 หลัง จ.ศรีสะเกษ บ้านเสียหาย 445 หลัง ซ่อมแล้ว 134 หลัง และอยู่ระหว่างซ่อม 311 หลัง อย่างไรก็ดี สำหรับบ้านเรือนที่เสียหายทั้งหลัง ไม่สามารถเข้าอยู่อาศัยได้ มีการช่วยเหลือของภาคเอกชน เช่น การมอบบ้านน็อกดาวน์ จากนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่มอบให้ประชาชนให้อยู่อาศัยระหว่างซ่อม เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน
นอกจากนี้ ยังอนุมัติช่วยค่าน้ำ ค่าไฟ เดือน ก.ค.-ส.ค. ส่วนที่มีบิลเก็บค่าไฟ อาจเป็นของเดือน มิ.ย.ที่การไฟฟ้าเก็บย้อนหลัง ซึ่งได้สร้างความเข้าใจกับการไฟฟ้าและประชาชนแล้ว ส่วนที่บางส่วนมีบิลของเดือน ก.ค. เนื่องจากบิลออกปลายเดือนมิ.ย. หรือ ต้น ก.ค.ก็ได้ขอให้แก้ไขว่า หากประชาชนจ่ายเดือน ก.ค.แล้ว ก็ให้ไปหักกลบกับเดือนถัดไปในอนาคตได้
น.ส.ธีรรัตน์ กล่าวอีกว่า รัฐบาลได้สำรวจแต่ละพื้นที่ที่มีจำนวนผู้ที่ต้องได้รับความช่วยเหลือ สำหรับพื้นที่ที่มีผู้อพยพในศูนย์พักพิงเกิน 15 วัน หรือ 7 วัน มีอัตราการดูแลแตกต่างกัน โดยตั้งแต่เกิดเหตุเกือบ 1 เดือน สามารถทำงานได้ครบไม่ช้า หรือสะดุด ส่วนการช่วยเหลือเป็นไปตามลำดับขั้น แม้รัฐบาลจะอนุมัติเงินช่วยเหลือแล้ว แต่ไม่ใช่แจกกราด หรือแจกให้หมด เพราะต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ ส่วนระเบียบที่เป็นอุปสรรคนั้น กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) สามารถงดเว้นหลักเกณฑ์ได้
ส่วนการรับเรื่องร้องทุกข์ได้มอบหมายให้พื้นที่ดำเนินการอยู่แล้ว ส่วนที่มองว่าระบบราชการล่าช้านั้นตนพยายามปรับให้ราบรื่นในการทำงาน และแก้ไขสิ่งที่สร้างความสับสนให้กับประชาชน ทั้งนี้ การแก้ไขระเบียบข้อบังคับที่เป็นอุปสรรคให้ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ต้องร่วมมือกันในสภาฯ เพื่อทำงานต่อไป โดยต้องมีการเขียนระเบียบเพื่อดูแลประชาชน เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นภัยใหม่ ไม่เหมือนกับเหตุการณ์ดินโคลนถล่ม น้ำท่วม ดังนั้น จึงใช้เกณฑ์เดิมไม่ได้ เพราะเป็นการอพยพ
