ข่าวเย็นประเด็นร้อน - บ้านหนองจาน จังหวัดสระแก้ว กลับมาเดือดอีกครั้ง หลังเจ้าหน้าที่ฝั่งไทยขอทวงคืนอธิปไตย ขึ้นป้าย 3 ภาษา ให้ชาวกัมพูชาที่บุกรุกออกจากพื้นที่
ล่าสุด สาย ๆ วันนี้ (4 ก.ย.) มีเหตุให้เดือด โล่มนุษย์กัมพูชาดาหน้ากันตั้งแถว ประจันหน้ากับทหารไทย ถือไม้ด้ามยาว หวังยั่วยุให้ปะทะ
มีหลายคลิป หลายมุม สด ๆ ร้อน ๆ ช่วงสายวันนี้ โล่มนุษย์ชาวกัมพูชาไม่พอใจที่ฝั่งไทยขึ้นป้ายขอคืนพื้นที่ ที่ถูกชาวกัมพูชาครอบครองอยู่นาน จนมาวันนี้แผ่นดินไทยควรกลับมาเป็นของไทย ที่ดินทำกินของชาวหนองจาน มันถึงเวลาแล้วที่ต้องทวงคืนมา ให้ได้ใช้ทำกินตามกฎหมาย ไม่ใช่ใครจะรุกรานก็ได้
นี่เป็นภาพมุมสูงที่ทหารไทยยืนเป็นแนวหน้า ผลักดันชาวกัมพูชาให้ออกจากบ้านหนองจาน ซึ่งแต่ละคนอาวุธครบมือ ไม้ด้ามยาว ไม้หน้าสาม พร้อมลุยกับทหารไทย แต่สุภาพบุรุษชุดลายพรางไม่มีทางรังแกประชาชนที่ถูกหลอกให้มาเป็นโล่มนุษย์
คลิปนี้ดูกันชัด ๆ ชาวกัมพูชาใช้ไม้รื้อลวดหนามของไทย พร้อมใช้วาจายั่วยุ โห่ไล่ทหารไทยให้ออกไป และให้เอาลวดหนามของไทยออกไปด้วย
พื้นที่ไม่ปลอดภัยแบบนี้ สมควรแล้วหรือที่ประชาชนจะต้องมาเผชิญหน้า โดยมีทหารกัมพูชาไม่กี่นายที่คอยปลุกปั่น ให้ผู้บริสุทธิ์แนวหลัง คนหนุ่มสาว เด็ก คนพิการ คนชรา มาช่วยทำหน้าที่เป็นผู้กล้าแนวหน้า ตาต่อตา ฟันต่อฟันกับทหารไทย แล้วแบบนี้ทหารไทยจะกล้าลงมือได้อย่างไร เนื่องจากประชาชนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องความมั่นคง
ทหารไทยต้องใช้ความอดทนและอดกลั้น ไม่ทำร้ายผู้บริสุทธิ์ ที่พยายามลัดเลาะถางต้นไม้ใบหญ้าเข้ามา เพราะคิดว่าผืนแผ่นดินนี้เป็นของกัมพูชา
ล่าสุด แม่ทัพภาคที่ 1 พร้อมผู้ว่าฯ สระแก้ว ลงพื้นที่บ้านหนองจาน ย้ำคำเดิม พื้นที่แห่งนี้เป็นของไทยตั้งแต่นานมา โดยนำคณะเดินทางต่อไปยังหลักเขตแดน หมุด 46-47 เพื่อตรวจสอบพื้นที่ข้อพิพาท ก่อนให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่า การลงพื้นที่ครั้งนี้ไม่ได้มาดูแค่ความมั่นคง แต่ต้องการช่วยเหลือประชาชนเรื่องการครอบครองที่ดิน หลังถูกชาวกัมพูชารุกล้ำมานาน
นาทีนี้ ทางการไทยให้กองกำลังบูรพาร่วมกับตำรวจ จัดกำลังควบคุมความวุ่นวายผู้ประท้วงชาวกัมพูชา ซึ่งขณะนี้สถานการณ์ได้คลี่คลายแล้ว โดยฝ่ายไทยนำกำลังควบคุมฝูงชนจากตำรวจภูธรสระแก้ว เข้าดูแลสถานการณ์
สำหรับป้ายขอคืนพื้นที่ของไทย ตั้งไว้ 2 จุด คือ บ้านหนองจาน และ บ้านหนองหญ้าแก้ว แจ้งชาวกัมพูชาที่บุกรุกพื้นที่ว่าหากไม่รื้อถอนออกจากที่ดิน จะดำเนินคดีตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง ซึ่งจะมีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี และปรับไม่เกิน 20,000 บาท และตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ ที่จะมีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือปรับไม่เกิน 50,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ