แค่หอมแก้มลูก ทำไมถึงติดเชื้อในกระแสเลือดได้ หมอม็อด หมอเด็กขอเล่า โดย นพ.ฒัชชณพงศ์ จงเจริญยานนท์ หมอเด็กเฉพาะทางโรคทางเดินหายใจและผู้ป่วยวิกฤต เปิดเผยเรื่องราวเพื่อเป็นอุทาหรณ์ โดยคุณแม่ท่านหนึ่งมาเล่าประสบการณ์ในกลุ่มว่า ลูกอายุเพียง 1 เดือน ตอนแรกมีแผลเล็ก ๆ บนใบหน้า แต่มีคนมาหอมแก้มอยู่บ่อยๆ จนไม่นาน แผลนั้นก็ลามกระจายทั่วหน้า
เมื่อนำลูกไปหาหมอ ปรากฏว่าอาการหนักมาก ความดันตก ต้องใช้ยากระตุ้นความดันและหัวใจ มีการติดเชื้อรุนแรง เข้ากระแสเลือด เชื้อกระจายไปถึง ปอด เยื่อหุ้มหัวใจ และเยื่อหุ้มสมอง คุณหมอยืนยันว่า ไม่ใช่โรคเริม และไม่ใช่มือเท้าปากผลตรวจเลือดและน้ำไขสันหลังก็ไม่เจอเชื้อชัดเจน คุณแม่จึงออกมาฝากเป็นอุทธาหรณ์ให้ทุกคน
แล้วเรื่องนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร หมอม็อด เล่าให้ฟังแบบเข้าใจง่าย ๆ ตามข้อมูลที่ได้จากโพสต์ของคุณแม่
1. ทำไมการ “หอมแก้ม” จึงไม่ควรทำกับเด็กเล็ก?
บนใบหน้าและในจมูกของผู้ใหญ่ มีเชื้อแบคทีเรียอาศัยอยู่เป็นปกติ แม้ว่าเราจะไม่ได้ป่วยก็ตาม เชื้อที่พบบ่อย เช่น Staphylococcus และ Streptococcus เมื่อผู้ใหญ่ไปหอมแก้มเด็กเล็ก เชื้อเหล่านี้ก็สามารถถูกส่งต่อไปยังผิวของลูกได้ทันที
เด็กเล็ก โดยเฉพาะอายุเพียงไม่กี่เดือน ระบบภูมิคุ้มกันยังไม่แข็งแรง เม็ดเลือดขาวยังทำงานได้ไม่เต็มที่ ทำให้เชื้อที่ไม่ก่อปัญหากับผู้ใหญ่ กลายเป็นการติดเชื้อรุนแรงในเด็กได้ง่าย แผลที่เกิดจากแบคทีเรีย มักมีลักษณะเป็น คราบเหลืองๆ บนผิวหนัง
เหมือนกับในภาพที่คุณแม่ท่านนี้ถ่ายมาให้ดู
2. แล้วติดเชื้อที่หน้า เกี่ยวอะไรกับความดันตกด้วย?
เวลามีแผลที่หน้า จริง ๆ มันไม่ได้หยุดอยู่แค่ผิวหนัง เพราะบริเวณใบหน้าของเรามี เส้นเลือดมาเลี้ยงอยู่เต็มไปหมด พอมีแผล เหมือน “เปิดประตู” ให้เชื้อโรคสามารถ วิ่งเข้าสู่เส้นเลือดได้โดยตรง ในผู้ใหญ่ เม็ดเลือดขาวจะเข้ามาจัดการได้เร็ว แต่ในเด็กเล็กที่ภูมิคุ้มกันยังบอบบาง เชื้อจึงเล็ดรอดเข้าสู่กระแสเลือดได้ง่าย เมื่อเชื้อเข้าสู่เลือดแล้ว มันจะกระจายไปได้ทุกที่
“ไปสมอง เยื่อหุ้มสมองอักเสบ ไปปอด ปอดอักเสบ หายใจลำบาก ไปหัวใจ ทำให้หัวใจอักเสบ สูบฉีดเลือดได้น้อยลง ความดันก็ตก”
หมอม็อด ระบุด้วยว่า แต่สาเหตุที่ทำให้ความดันตก ไม่ได้มีแค่หัวใจ ร่างกายเด็กเวลาสู้กับเชื้อ จะปล่อยสารบางอย่างออกมา ทำให้เส้นเลือดทั่วร่างกายขยายตัว ผลคือเลือดที่ควรจะไหลเวียนไปเลี้ยงอวัยวะสำคัญ กลับ “ค้าง” อยู่ตามเส้นเลือดใหญ่ ๆ ความดันในระบบจึงตกลง
พูดง่ายๆ คือ หัวใจปั๊มเลือดได้น้อยลง เส้นเลือดก็ขยายจนความดันตก สองอย่างนี้เกิดพร้อมกัน = เด็กเข้าสู่ภาวะที่เรียกว่า ช็อกจากการติดเชื้อ (septic shock) ซึ่งอันตรายและต้องรักษาเร่งด่วนที่สุด

3. ไม่เจอเชื้ออะไรเลย ทำไมถึงเป็นหนักจัง?
เวลาแพทย์สงสัยว่าเด็กติดเชื้อในกระแสเลือด จะเอาเลือดไปเพาะเชื้อและเอาน้ำไขสันหลังไปเพาะเชื้อ แต่ในความจริงแล้ว ผลตรวจเหล่านี้ มักไม่ค่อยเจอเชื้อ เพราะบางครั้งมีเชื้ออยู่ในร่างกายจริง แต่ปริมาณน้อยเกินไปตอนเก็บตัวอย่าง หรือภูมิคุ้มกันของร่างกายอาจกำลังต่อสู้กับเชื้อ ทำให้จับเชื้อได้ยาก
ดังนั้น “ผลตรวจไม่เจอเชื้อ” ไม่ได้หมายความว่า “ไม่ได้ติดเชื้อ” แพทย์จึงต้องอาศัยการดู อาการและการตรวจร่างกายของเด็กเป็นหลัก ถ้าอาการเป็นเร็ว ลุกลามไว และรุนแรง มักจะนึกถึงแบคทีเรียตัวหนึ่ง จึงเป็นเหตุผลที่แพทย์ให้ยาปฏิชีวนะ (ยาฆ่าเชื้อแบคทีเรีย) ทันที เพื่อช่วยชีวิตเด็กไว้
4. ทำไมหมอถึงย้ำว่า “อย่าให้ใครมาหอมมากอดเด็กเล็ก”
เพราะผู้ใหญ่หลายคนแม้จะดูแข็งแรงดี ไม่มีอาการป่วย แต่จริงๆ แล้ว ยังมีเชื้อโรคซ่อนอยู่ในร่างกาย เชื้อเหล่านี้สามารถถ่ายทอดไปยังเด็กเล็กได้ง่าย ผ่านการหอม กอด หรือจุ๊บ การ “งดหอม งดกอด” จึงไม่ใช่การห้ามความรัก แต่เป็น เกราะป้องกันลูกน้อย ให้ปลอดภัยจากเชื้อโรคต่าง ๆ
ป้องกันได้ทั้งเชื้อไวรัส เช่น RSV, ไข้หวัดใหญ่ และยังช่วยป้องกันเชื้อแบคทีเรีย อย่างในเคสนี้ด้วย พูดง่าย ๆ คือ แค่ระวังไม่ให้ใครมาหอมแก้มลูก ก็ช่วยลดโอกาสการติดเชื้อรุนแรงได้มากแล้ว