วันนี้ (12 ก.ย. 68) ดร.ณพพงศ์ ธีระวร ประธานสมาพันธ์ SME ไทย เปิดเผยถึงสถานการณ์ธุรกิจขนาดกลาง ขนาดย่อม และรายย่อย (MSME) ว่ากำลังเผชิญกับ 4 ความท้าทายเร่งด่วน ได้แก่ ความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจและการเมืองที่ยังเปราะบาง, ปัญหาสภาพคล่องและการเข้าถึงแหล่งทุน, ภาระหนี้ธุรกิจและหนี้ครัวเรือนที่สูงถึง 88%, และการแข่งขันจากสินค้าจีนที่รุกเข้ามาทั้งในรูปแบบแฟรนไชส์ แพลตฟอร์มออนไลน์ และการนำเข้า ขณะที่สินค้าไทยยังขาดความสามารถในการแข่งขัน หากรัฐบาลไม่เร่งออกมาตรการตรงจุด มีความเสี่ยงสูงที่ผู้ประกอบการจำนวนมากจะ ทยอยปิดกิจการเป็นวงกว้าง
เพื่อรับมือกับสถานการณ์นี้ สมาพันธ์ฯ ได้เสนอ 5 มาตรการเร่งด่วน ที่รัฐบาลภายใต้การนำของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล ควรขับเคลื่อนทันทีภายใน 4–6 เดือน ได้แก่ 1.สร้างความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจและการเมือง โดยการสื่อสารเชิงรุกของครม.เศรษฐกิจ เพื่อฟื้นความเชื่อมั่นผู้ประกอบการ 2.กระตุ้นกำลังซื้อในประเทศ ผ่านโครงการตรงจุด เช่น “คนละครึ่ง” ซึ่งได้รับการตอบรับจากประชาชนและผู้ประกอบการในช่วงเวลานี้
3.เพิ่มช่องทางสภาพคล่องให้ MSME ด้วย Soft Loan จากธนาคารออมสินที่รอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี อย่างน้อย 100,000 ล้านบาท ดอกเบี้ย 3–3.5% โดยเฉพาะการกันวงเงิน 20,000 ล้านบาท สำหรับ Micro และ Small Entrepreneurs ซึ่งปกติมักถูกธนาคารคัดออกจากระบบกู้ยืม 4.พักชำระหนี้ 2 ปี สำหรับผู้ประกอบการรายเล็ก Micro และ Small Entrepreneurs เพื่อเป็นการต่อลมหายใจและเพิ่มโอกาสปรับตัว และ 5.ตั้งคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน ขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก โดยเปิดเวทีให้เครือข่าย MSME ภาคการเกษตร และการท่องเที่ยว ได้สะท้อนปัญหาและแนวทางแก้ไขต่อภาครัฐโดยตรง
ดร.ณพพงศ์ ย้ำว่า มาตรการเหล่านี้ไม่ใช่เพียงการอัดเงินอุดหนุน แต่คือการสร้างโอกาสใหม่ให้ผู้ประกอบการรายเล็กสามารถอยู่รอดและแข่งขันได้จริง หากรัฐบาลสามารถขับเคลื่อนอย่างเป็นรูปธรรม จะช่วยพลิกฟื้นเศรษฐกิจฐานราก กระตุ้นการบริโภค และสร้างความแข็งแกร่งให้กับ MSME ซึ่งเป็นกระดูกสันหลังของเศรษฐกิจไทย