ศาลปกครองกลาง ชี้ สภากาชาดไทย ปฏิเสธรับเลือดบริจาค LGBTQ+ ไม่ถือว่าเลือกปฏิบัติ

ศาลปกครองกลาง ชี้ สภากาชาดไทย ปฏิเสธรับเลือดบริจาค LGBTQ+ ไม่ถือว่าเลือกปฏิบัติ

View icon 1.1K
วันที่ 19 ก.ย. 2568 | 17.24 น.
ข่าวออนไลน์7HD
แชร์
ศาลปกครองกลาง เพิกถอนคำวินิจฉัยคณะกรรมการวินิจฉัยการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ ปมไม่รับบริจาคเลือด LGBTQ+ ชี้ เป็นการคุ้มครองความปลอดภัยของผู้รับเลือด ไม่ถือเป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ

วันนี้ (19 ก.ย.68) ศาลปกครองกลาง มีคําพิพากษาเพิกถอนคําวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ เรื่องที่ 01/2565 ลงวันที่ 1 มี.ค.2565 กรณีสภากาชาดไทย ปฏิเสธไม่รับบริจาคโลหิตของผู้บริจาคโลหิต ที่มีเพศกําเนิดเป็นชาย แต่มีเพศสภาพเป็นหญิง และมีการแสดงออกแตกต่างจากเพศโดยกำเนิด โดยมีคําสั่งให้ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภาการชาดไทย ดําเนินการกําหนดนโยบายในการรับบริจาคโลหิต โดยใช้เกณฑ์ในการพิจารณาจากพฤติกรรมทางเพศที่มีความเสี่ยงของผู้บริจาคแทนระบบการคัดกรองโลหิตเดิม และประชาสัมพันธ์นโยบายดังกล่าวในสื่อต่าง ๆ เพื่อเผยแพร่ให้สาธารณชนได้รับทราบโดยทั่วกัน

กรณีดังกล่าว สภากาชาดไทยไม่เห็นด้วย จึงนําคดีมาฟ้องต่อศาลปกครอง ขอให้ศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งเพิกถอนคําวินิจฉัยดังกล่าว ศาลปกครองกลางมีคําวินิจฉัยว่า เมื่อพิจารณาข้อมูลการกําหนดให้งดบริจาคโลหิตสําหรับเพศชายที่มีเพศสัมพันธ์กับเพศชายของนานาประเทศ มีข้อมูลตรงกันว่าพฤติกรรมดังกล่าวมีความเสี่ยงในการติดเชื้อเอชไอวีและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์สูง เมื่อข้อมูลการกําหนดให้งดบริจาคโลหิตในกรณีดังกล่าวของประเทศไทยยังมิได้กําหนดช่วงเวลาที่จะงดรับบริจาคโลหิตไว้ สภากาชาดไทยย่อมไม่อาจปฏิบัติต่อผู้มีพฤติกรรมเสี่ยงดังกล่าวเป็นอย่างอื่นได้ และเมื่อชั่งน้ำหนักระหว่างความเสียหายอันจะเกิดขึ้นแก่บุคคล ผู้บริจาคโลหิตที่มีพฤติกรรมเสี่ยงดังกล่าวกับประโยชน์ของผู้รับบริจาคโลหิตที่จะได้รับโลหิตที่มีความปลอดภัยแล้ว หากให้ผู้บริจาคโลหิตที่มีพฤติกรรมเสี่ยงดังกล่าวบริจาคโลหิตได้โดยยังมิได้กําหนดแนวทางปฏิบัติไว้เป็นการเฉพาะ จากข้อมูลการศึกษาวิจัยอย่างเหมาะสมจะก่อให้เกิดประโยชน์แก่บุคคลดังกล่าวน้อยมาก และไม่คุ้มกับความเสียหายที่เกิดขึ้นแก่ผู้ป่วย ผู้รับบริจาคโลหิต หรือสังคมโดยส่วนรวมที่มีโอกาสได้รับโลหิตที่ไม่ปลอดภัย

จึงเห็นได้ว่า หากไม่มีการใช้แบบคัดกรองโลหิต และการสัมภาษณ์โดยเจ้าหน้าที่ของสภากาชาดไทยอาจจะทําให้เกิดความปลอดภัยในโลหิตที่บริจาคลดน้อยลง การที่สภากาชาดไทยใช้แบบคัดกรองและการสัมภาษณ์โดยเจ้าหน้าที่ของสภากาชาดไทย เพื่อความปลอดภัยของผู้บริจาคโลหิตและความปลอดภัยของผู้ป่วยที่ต้องใช้โลหิต จึงเป็นไปตามหลักความได้สัดส่วนแล้ว แม้การปฏิเสธรับบริจาคโลหิตจากผู้ร้องจะมีลักษณะเป็นการเลือกปฏิบัติต่อผู้ร้อง แต่การกระทําดังกล่าวมีวัตถุประสงค์และความมุ่งหมายเพื่อคัดกรองโลหิตที่มีความปลอดภัยตามเป้าหมายงานบริการโลหิตที่มีประสิทธิภาพของสภากาชาดไทย อันเป็นเหตุผลที่หนักแน่นควรค่าแก่การรับฟังได้

การที่สภากาชาดไทยไม่รับบริจาคโลหิตของผู้ร้อง จึงมีลักษณะเป็นการคุ้มครองความปลอดภัยของผู้รับบริจาคโลหิตที่ไม่ถือเป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ ตามมาตรา 3 ประกอบมาตรา 17 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติความเท่าเทียมระหว่างเพศ พ.ศ. 2558 คณะกรรมการวินิจฉัยการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมระหว่างเพศ จึงไม่มีอํานาจที่จะออกคําสั่งให้สภากาชาดไทยดําเนินการต่าง ๆ ได้ จึงเป็นการกระทําที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

อย่างไรก็ดี การที่สภากาชาดไทยออกบัตรประจําตัวชั่วคราว สําหรับผู้บริจาคโลหิตให้แก่ผู้ร้อง กรณีเป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะมีเชื้อเอชไอวีในโลหิต ทําให้ผู้ร้องไม่สามารถบริจาคโลหิตได้ตลอดชีวิตนั้น เมื่อสภากาชาดไทยมิได้มีข้อเท็จจริงอย่างชัดแจ้งว่าผู้ร้องมีเชื้อเอชไอวีในโลหิต ประกอบกับเมื่อบุคคลผู้ที่ได้ทราบกรณีพิพาทดังกล่าวจากสื่อสาธารณะเกิดความเข้าใจว่า ผู้ร้องเป็นผู้ที่มีโลหิตไม่ปลอดภัยและเป็นบุคคลที่มีเชื้อเอชไอวี จนเกิดการดูหมิ่นหรือเยาะเย้ยผู้ร้องอย่างร้ายแรง การกระทําของสภากาชาดไทยดังกล่าว จึงมีลักษณะเป็นการกระทบต่อการพัฒนาบุคลิกภาพของผู้ร้องเพื่อนําไปสู่ความเป็นหญิงอย่างสมบูรณ์ อันเป็นการละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ในการปกป้องอัตลักษณ์ของมนุษย์ และคุณค่าที่แท้จริงของมนุษย์แต่ละคนที่ผู้ถูกฟ้องคดีซึ่งเป็นองค์กรของรัฐมีหน้าที่ในการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพต่อการแทรกแซงของผู้ฟ้องคดีได้

แม้คู่กรณีจะไม่ได้ยกประเด็นดังกล่าวขึ้นมากล่าวอ้าง แต่โดยที่ประเด็นดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลจึงยกขึ้นมาวินิจฉัย และพิพากษาเพิกถอนคําวินิจฉัยของผู้ถูกฟ้องคดีเรื่องที่แล้วเสร็จเลขที่ 01/2565 ลงวันที่ 1 มี.ค.2565 โดยให้มีผลย้อนหลังไปถึงวันที่มีคําวินิจฉัยดังกล่าว สําหรับคําสั่งเกี่ยวกับวิธีการชั่วคราวก่อนการพิพากษา ลงวันที่ 25 ก.ค. 2565 นั้น ให้มีผลใช้บังคับต่อไปจนกว่าคดีจะถึงที่สุด หรือจนกว่าศาลปกครองสูงสุดจะมีคําสั่งเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่น

ข่าวที่เกี่ยวข้อง