รวบเยาวชน 17 ปี พ่นสีทับภาพวาด “หลวงพ่อคูณ” ยอมรับขัดแย้ง อยากแสดงอำนาจต่อคู่แข่ง

รวบเยาวชน 17 ปี พ่นสีทับภาพวาด “หลวงพ่อคูณ” ยอมรับขัดแย้ง อยากแสดงอำนาจต่อคู่แข่ง

View icon 411
วันที่ 1 ต.ค. 2568 | 18.53 น.
ข่าวออนไลน์7HD
แชร์
ไม่ทันคิด ตำรวจรวบเยาวชน 17 ปี พ่นสีทับภาพวาด “หลวงพ่อคูณ” สารภาพขัดแย้งคู่แข่ง อยากแสดงอำนาจ ยกมือขอโทษ สัญญาว่าจะไม่ก่อเหตุซ้ำ

จากกรณีมีมือดีพ่นสีดำลักษณะคล้ายชื่อของตัวเอง ทับผลงานภาพวาด “หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ” ที่ศิลปินเคยบรรจงสร้างสรรค์ไว้บนกำแพงกลางเมือง บริเวณซอยลำปรุ ข้างวัดสมอราย ตำบลในเมือง อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา

วันนี้ (1 ต.ค.68) ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่ตรวจสอบพบว่า ภาพวาดดังกล่าวถูกพ่นสีจนเสียหายไปบางส่วน สร้างความไม่พอใจและหดหู่ใจให้แก่ประชาชนในพื้นที่เป็นอย่างยิ่ง โดยนายสนอง ชาวบ้านที่พักอาศัยใกล้จุดเกิดเหตุ เล่าว่า หลวงพ่อคูณเป็นที่เคารพศรัทธาของชาวโคราชและคนไทยทั่วประเทศ การที่มีคนมากระทำเช่นนี้ถือว่าไม่เหมาะสม และทำให้ประชาชนเสียความรู้สึก  อยากให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเร่งติดตามตัวผู้ก่อเหตุมารับผิดชอบและขอโทษต่อชาวโคราชโดยเร็ว

เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในโลกออนไลน์ หลายเพจดังในโคราชต่างนำภาพไปเผยแพร่พร้อมแสดงความไม่พอใจ และเรียกร้องให้ผู้เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการอย่างจริงจัง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุซ้ำอีกในอนาคต

ล่าสุด เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองนครราชสีมา สามารถควบคุมตัวผู้ก่อเหตุได้แล้ว เป็นเยาวชายอายุ 17 ปี โดยรับสารภาพว่าได้ลงมือพ่นสีเพียงคนเดียว ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้คุมตัวผู้ก่อเหตุไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพยังจุดเกิดเหตุ บรรยากาศการทำแผนเป็นไปด้วยความเงียบงัน ท่ามกลางสายตาของประชาชนที่มามุงดูด้วยความหดหู่ใจ โดยผู้ต้องหามีสีหน้าสลด พร้อมยอมรับต่อสื่อมวลชนว่า ตนเองเป็นคนพ่นสีทับภาพจริง สาเหตุเกิดจากความขัดแย้งกับกลุ่มคู่อริในวงการกราฟฟิตีที่ก่อนหน้านี้ได้พ่นทับผลงานของตนเอง จึงบันดาลโทสะต้องการแสดงอำนาจต่อคู่แข่ง และตัดสินใจพ่นชื่อตัวเองลงไป แต่ไม่ทันคิดว่าจะไปซ้ำทับภาพวาดหลวงพ่อคูณ ที่เป็นที่เคารพของคนทั้งเมือง ทั้งนี้ ผู้ต้องหาได้ยกมือไหว้ขอโทษต่อสังคม และยอมรับว่าการกระทำครั้งนี้เป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ในชีวิต พร้อมสัญญาว่าจะไม่ก่อเหตุซ้ำอีก โดยยอมรับผิดทุกอย่างและพร้อมเข้าสู่กระบวนการของกฎหมาย

ด้านเจ้าหน้าที่ตำรวจ ระบุว่า การกระทำครั้งนี้ไม่เพียงเป็นการทำลายทรัพย์สิน แต่ยังสร้างความสะเทือนใจแก่ประชาชนในพื้นที่ ซึ่งคดีดังกล่าวจะดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป

ข่าวที่เกี่ยวข้อง