เจ้าหน้าที่กัมพูชา กล่าวในการประชุมของ UNESCO เรียกร้องให้ UNESCO และนานาชาติ ปกป้อง “ปราสาทพระวิหาร” อ้างฝ่ายไทยทั้งยิงปืนใหญ่, ยิงจรวด, ทิ้งระเบิด และใช้เครื่องบินรบ ทำ “ปราสาทพระวิหาร” เสียหาย
วันนี้ (3 ต.ค. 68) สำนักข่าว ขแมร์ ไทมส์ ของกัมพูชา รายงานว่า นายซัวส์ ยารา (Suos Yara) หัวหน้าคณะกรรมาธิการวิเทศสัมพันธ์ ความร่วมมือระหว่างประเทศและการสื่อสารของรัฐสภากัมพูชา ได้กล่าวในการประชุมระดับโลกของ UNESCO ว่าด้วยนโยบายทางวัฒนธรรมและการพัฒนาที่ยั่งยืน ณ เมืองบาร์เซโลนา ประเทศสเปน
โดยนายซัวส์ ยารา ได้กล่าวอ้างว่า “ปราสาทพระวิหาร” เป็นตัวอย่างที่น่าเศร้าของมรดกทางวัฒนธรรมที่ต้องตกอยู่ภายใต้การคุกคาม จากการยิงถล่มของกองทัพไทย จากความขัดแย้งบริเวณชายแดน ไทย-กัมพูชา เมื่อปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งสร้างความเสียหายอย่างมากให้กับ “ปราสาทพระวิหาร” ถึงแม้จะมีอนุสัญญาและสนธิสัญญาระหว่างประเทศเพื่อปกป้อง “ปราสาทพระวิหาร” แต่การละเมิดและการทำลายก็ยังคงเกิดขึ้นอยู่ นับตั้งแต่ “ปราสาทพระวิหาร” ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลกในปี พ.ศ.2551 ปราสาทแห่งนี้ก็ได้รับความเสียหายหลายครั้งจากการปืนใหญ่, จรวด, การทิ้งระเบิด และเครื่องบินรบที่ถูกห้ามในระดับนานาชาติของไทย ตั้งแต่ความขัดแย้งระหว่างปี 2551-2554 และเมื่อเดือนกรกฎาคม 2568
ทาง นายยารา เรียกร้องให้ UNESCO และนานาชาติ สนับสนุนกระบวนการการบังคับใช้กฎหมาย และให้แน่ใจว่าแหล่งมรดกทางวัฒนธรรมจะได้รับการปกป้องจากการรุกรานทางทหาร โดยเฉพาะในภูมิภาคที่ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้ง โดยย้ำว่ามรดกทางวัฒนธรรมเป็นของมวลมนุษยชาติ การทำลาย “ปราสาทพระวิหาร” ไม่เพียงแต่เป็นการสูญเสียระดับชาติของกัมพูชาเท่านั้น แต่ยังเป็นโศกนาฏกรรมในระดับโลกที่บั่นทอนประวัติศาสตร์มนุษยชาติอีกด้วย
นอกจากนี้ ทางกัมพูชาอ้างว่า จากการประเมินความเสียหายที่เกิดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ต่อ “ปราสาทพระวิหาร” ซึ่งเป็นมรดกโลก พบความเสียหายต่อแหล่งมรดก 125 จุด ในบริเวณปราสาท ซึ่งความเสียหายดังกล่าวเกิดจากการโจมตีของโดรนและการโจมตีทางอากาศโดยเครื่องบินรบของไทย เมื่อช่วงปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งความเสียหายนั้นรุนแรงกว่าในช่วงความขัดแย้งชายแดนปี พ.ศ. 2551-2554
ขณะที่นายหยาง เพออู เลขาธิการราชวิทยาลัยกัมพูชา ได้กล่าวสนับสนุนคำกล่าวของ นายซัว ยารา ว่า “ปราสาทพระวิหาร” ไม่เพียงแต่เป็นโบราณสถานของกัมพูชาเท่านั้น แต่ยังเป็นมรดกโลกของ UNESCO อีกด้วย การเรียกร้องของกัมพูชานั้นมีเหตุผลอันสมควร เนื่องจากมีเป้าหมายเพื่อดึงความสนใจจากนานาชาติ ให้เห็นถึงเจตนาของทหารไทยที่ใช้ปืนใหญ่และการโจมตีทางอากาศทำลายมรดกทางวัฒนธรรม