เจ้าหน้าที่ตำรวจบราซิล ปฏิบัติการปราบปรามแก๊งอาชญากรรมครั้งใหญ่ในนครรีโอเดจาเนโร ก่อนเป็นเจ้าภาพจัดงานประชุมสุดยอดสภาพภูมิอากาศของสหประชาชาติ หรือ COP30 ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 64 คน
วันนี้ (29 ต.ค. 68) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจบราซิลและหน่วยรักษาความปลอดภัยกว่า 2,500 นาย ได้ปฏิบัติการปราบปรามแก๊งอาชญากรรมรายใหญ่ในชุมชนแออัด ทางตอนเหนือของนครรีโอเดจาเนโร ประเทศบราซิล ก่อนที่นครรีโอเดจาเนโรจะเป็นเจ้าภาพจัดงานระดับโลกหลายงานที่เกี่ยวข้องกับการประชุมสุดยอดสภาพภูมิอากาศของสหประชาชาติ หรือ COP30 โดยพุ่งเป้าไปที่แก๊ง Comando Vermelho (Red Command) ที่ถือว่าเป็นหนึ่งในกลุ่มอาชญากรรมที่ทรงอิทธิพลของเมืองนี้ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 68 คน และสามารถจับกุมผู้ต้องสงสัยได้อย่างน้อย 81 คน และยึดอาวุธปืนอัตโนมัติได้จำนวนมาก
โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจรีโอเดจาเนโร เริ่มปฏิบัติการกวาดล้างกลุ่มอาชญากรครั้งใหญ่ ก่อนจะมีการจัดงานสำคัญที่นครรีโอเดจาเนโร เช่น งานโอลิมปิก 2016, การประชุมสุดยอด G20 ปี 2024 และการประชุม BRICS เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา และในสัปดาห์หน้า นครรีโอเดจาเนโรจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอด C40 ซึ่งจะมีนายกเทศมนตรีทั่วโลกเข้าร่วมการประชุม ว่าด้วยการรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รวมถึงงานประกาศรางวัล Earthshot Prize ของเจ้าชายวิลเลียม เจ้าชายแห่งเวลส์ ซึ่งจะมีคนดังเข้าร่วมมากมาย เช่น “ไคลี มิโนก” นักร้องป็อปชื่อดัง และ “เซบาสเตียน เวทเทล” อดีตแชมป์โลก F1 4 สมัย
ทั้งนี้ ปฏิบัติการปราบปรามแก๊งอาชญากรรมเหล่านี้ถือเป็นส่วนหนึ่งของการเตรียมความพร้อมก่อนการประชุม COP30 ซึ่งจะจัดขึ้นที่เมืองเบเลง ริมป่าแอมะซอน ระหว่างวันที่ 10–21 พฤศจิกายนนี้
ทางนายเคลาดิโอ กัสโตร ผู้ว่าการรัฐริโอเดจาเนโร ยืนยันตัวเลขผู้เสียชีวิตเมื่อวันอังคารว่าอยู่ที่ 64 คน ซึ่งในจำนวนดังกล่าวรวมเจ้าหน้าที่ตำรวจ 4 นาย โดยนับเป็นจำนวนผู้เสียชีวิตที่มากกว่าสองเท่าของปฏิบัติการตำรวจที่เคยรุนแรงที่สุดของนครรีโอเดจาเนโร ในอดีต พร้อมประกาศว่า สิ่งที่ทางการต้องการคือริโอเดจาเนโร และบราซิลที่ปลอดจากอาชญากรรม
ขณะที่ด้านกลุ่มสิทธิมนุษยชน เช่น Human Rights Watch และสำนักงานสิทธิมนุษยชนของ United Nations Human Rights Office ได้เรียกร้องให้มีการสอบสวนอย่างละเอียดถึงการเสียชีวิตของพลเรือน เพราะมีรายงานว่านำจำนวนผู้เสียชีวิตนั้นมีผู้คนที่ไม่ใช่อาชญากรรวมอยู่ด้วย
ทั้งนี้ ปฏิบัติการปราบปรามแก๊งอาชญากรรมดังกล่าวถูกตั้งคำถามว่านี่เป็น “การปรับโฉมภาพลักษณ์เมือง” ก่อนงานระดับนานาชาติ หรือเป็นการจัดการอาชญากรรมอย่างจริงจัง ด้วยวิธีที่อาจก่อปัญหาสิทธิมนุษยชน