กองทัพ ยัน ย้ายอาวุธหนักเข้าชายแดนได้ทัน หากกัมพูชาเบี้ยว ไม่ถอนอาวุธ ย้ำ TMAC เดินหน้าเก็บกู้ทุ่นระเบิดพื้นที่ช่องสายตะกู จ.บุรีรัมย์ ส่วนกัมพูชา ยังรอคำสั่ง
วันนี้ (3 ต.ค.68) ที่กองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ชี้แจงข้อกังวลของประชาชนบางส่วนต่อกรณีการถอนอาวุธกลับที่ตั้ง จ.ลพบุรี อาจจะไกลจากพื้นที่ชายแดนมากเกินไปว่า กองทัพบกจะสามารถ เคลื่อนย้ายอาวุธกลับเข้าพื้นที่ได้ทันหากเกิดปัญหาทางกัมพูชาไม่ทำตามสัญญาเรื่องข้อตกลงการถอนอาวุธ
ส่วนกรณีมีกระแสข่าวฝ่ายกัมพูชาขัดขวางไม่ให้ AOT เข้าสังเกตการณ์เก็บกู้ทุ่นระเบิดที่ช่องสายตะกู จ.บุรีรัมย์ นั้น จากการตรวจสอบศูนย์ปฏิบัติการทุ่นระเบิดแห่งชาติ (TMAC) ได้เดินหน้าปฏิบัติตามแผน แม้ฝ่ายกัมพูชายังอยู่ระหว่างรอคำสั่งจากหน่วยเหนือ
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 1 พ.ย.ที่ผ่านมา ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบกได้รับรายงานจาก กองกำลังสุรนารี เกี่ยวกับความคืบหน้าในการเก็บกู้ทุ่นระเบิดของ TMAC ในพื้นที่ช่องสายตะกู อำเภอบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์ ซึ่งได้เริ่มดำเนินการตามแผนตั้งแต่วันที่ 28 ต.ค.68 ปัจจุบัน TMAC ได้เข้าพิสูจน์ทราบพื้นที่แล้ว ร้อยละ 7.62 ของพื้นที่ทั้งหมด 355,026 ตารางเมตร โดยระหว่างการปฏิบัติงานได้พบปัญหาและข้อขัดข้องบางประการ ดังนี้
เมื่อวันที่ 30 ต.ค.68 ขณะฝ่ายไทยดำเนินการพิสูจน์ทราบสนามทุ่นระเบิดในพื้นที่ชายแดนฝั่งไทย โดยอ้างอิงเส้นปฏิบัติการตามแผนที่มาตราส่วน 1 : 50,000 ได้พบทหารกัมพูชาอยู่ในเส้นทางปฏิบัติการ จึงเข้าพบปะและเจรจาเพื่อสร้างความเข้าใจร่วมกัน
ผลการเจรจา ฝ่ายกัมพูชาได้ขอให้ฝ่ายไทยดำเนินการพิสูจน์ทราบเฉพาะในพื้นที่ฝั่งไทย โดยอ้างอิงแนวเส้นทางลาดตระเวนเดิม และขอไม่ให้มีการดัดแปลงพื้นที่ เช่น การวางลวดหนาม แต่สามารถทำการถากถางพื้นที่ หรือทำเครื่องหมายได้ ทั้งนี้ ฝ่ายกัมพูชาแจ้งเพิ่มเติมว่า ยังไม่สามารถเริ่มทำการพิสูจน์ทราบทุ่นระเบิดในฝั่งของตนได้ เนื่องจากยังไม่มีคำสั่งจากหน่วยเหนือ ภายหลังการเจรจา ฝ่ายไทยได้ดำเนินการพิสูจน์ทราบสนามทุ่นระเบิดต่อไปตามแผนงานในเขตไทย โดยมีทหารกัมพูชาเฝ้าสังเกตการณ์อย่างต่อเนื่องจนเสร็จสิ้นภารกิจในวันนั้น
ต่อมาในวันที่ 1 พ.ย.68 คณะ AOT ฝ่ายไทย ได้ลงพื้นที่ร่วมสังเกตการณ์การเก็บกู้ทุ่นระเบิดในบริเวณช่องสายตะกู โดยฝ่ายไทยได้รายงานผลการดำเนินงานและปัญหาข้อขัดข้องดังกล่าวให้คณะ AOT ฝ่ายไทยได้รับทราบ ทั้งนี้ การเก็บกู้ทุ่นระเบิดตามแนวชายแดนถือเป็นข้อตกลงร่วมกันของทั้งสองประเทศ ซึ่งได้มีมติและเห็นชอบในที่ประชุมระดับผู้นำอาเซียนที่ผ่านมา ปัจจุบันฝ่ายไทยได้ยืนยันความพร้อมและดำเนินการตามแผนที่เสนอต่อฝ่ายกัมพูชา ครอบคลุมทั้ง 13 พื้นที่ ขณะที่ฝ่ายกัมพูชายังไม่มีการดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรมในประเด็นดังกล่าว