ศาลรัฐธรรมนูญ มีมติไม่รับ 2 คำร้อง อนุทิน-เท้ง ทำ MOA ไม่เข้าข่ายล้มล้างการปกครอง
วันนี้ (3 พ.ย.68) ศาลรัฐธรรมนูญ นัดประชุมปรึกษาคดี โดยมีคดีที่น่าสนใจ เรื่องพิจารณาที่ 29/2568 กรณีขอให้ศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยว่า พรรคประชาชน (ปชน.) กระทำการล้มล้างการปกครอง ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 หรือไม่
โดยผู้ร้องอ้างว่า นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน และผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ผู้ถูกร้องที่ 2 และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคประชาชน จำนวน 143 คน ผู้ถูกร้องที่ 3 กระทำการตกลงกันเพื่อแบ่งปันอำนาจอธิปไตย ด้วยการบิดเบือนอำนาจบริหารในบางเรื่องที่ควรจะเป็นอำนาจของนายกรัฐมนตรี หรือคณะรัฐมนตรีซึ่งเป็นองค์กรฝ่ายบริหาร ให้มาเป็นอำนาจแฝงของพรรคการเมืองฝ่ายค้าน และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคการเมืองนั้น เป็นการทำลายกลไกของระบอบประชาธิปไตย ทำให้ขาดความเข้มแข็งในการถ่วงดุลอำนาจในการปกครองประเทศ
โดยพรรคประชาชน ผู้ถูกร้องที่ 1 เสนอยกคะแนนเสียงสมาชิกสภาผู้แทนพรรคประชาชน ให้กับพรรคการเมืองใดที่สามารถนำนโยบายของผู้ถูกร้องที่ 1 ไปดำเนินการเมื่อพรรคการเมืองนั้นได้เป็นรัฐบาล คือ ให้มีการยุบสภาผู้แทนราษฎรภายใน 4 เดือน นับแต่วันที่รัฐบาลแถลงนโยบายต่อรัฐสภา และจัดให้มีการออกเสียงประชามติเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ นำไปสู่การจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ โดยสภาร่างรัฐธรรมนูญที่มาจากการเลือกตั้ง ต่อมาผู้ถูกร้องที่ 2 และนายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ลงนามในบันทึกข้อตกลง (MOA) และในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อลงคะแนนเสียงเห็นชอบผู้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ผู้ถูกร้องที่ 3 ได้ดำเนินการตามบันทึกข้อตกลง (MOA) โดยลงคะแนนเสียงเห็นชอบเพื่อให้นายอนุทิน ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี โดยผู้ถูกร้องทั้งสามจะปฏิบัติหน้าที่ฝ่ายค้าน
ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาโดยอภิปรายแล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคำร้อง คำร้องเพิ่มเติมและเอกสารประกอบ เมื่อบันทึกข้อตกลง (MOA) ระหว่างนายณัฐพงษ์ กับนายอนุทิน เป็นการเจรจาหรือการประกาศเจตจำนงทางการเมืองร่วมกัน ไม่ปรากฎข้อเท็จจริงหรือพยานหลักฐานอื่นที่ชัดเจนเพียงพอที่แสดงให้เห็นได้ว่า ผู้ถูกร้องทั้งสามกระทำการอันเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง กรณีไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการตามรัฐธธรรมนูญ มาตรา 49 ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์มีคำสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย
นอกจากนี้ ศาลรัฐธรรมนูญ ยังมีมติในคำร้องเรื่องพิจารณาที่ 30/2568 กรณีลงนามข้อตกลงความร่วมมือ (MOA) กับพรรคภูมิใจไทย ในการผลักดันให้นายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นการได้มาซึ่งอำนาจฝ่ายบริหารที่ไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ เป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง
ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาโดยการอภิปรายแล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงตามคำร้องและเอกสารประกอบ เมื่อบันทึกข้อตกลง (MOA) ระหว่าง นายณัฐพงษ์ กับนายอนุทิน เป็นการเจรจาหรือการประกาศเจตจำนงทางการเมืองร่วมกัน ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงหรือพยานหลักฐานที่ชัดเจนเพียงพอที่แสดงให้เห็นได้ว่า นายณัฐพงษ์, นายอนุทิน และพรรคการเมืองทั้งสองพรรค กระทำการอื่นใดอันเป็นการใช้สิทธิหรือเสรีภาพเพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 วรรคหนึ่ง กรณีไม่ต้องด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์มีคำสั่งไม่รับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย