“สิริพงศ์” ลั่น ปล่อยตัว 18 เชลยศึกเป็นเรื่องสุดท้ายที่จะดำเนินการ หากมั่นใจความเป็นปฏิปักษ์“เขมร”หมดสิ้น ระงับถอนกำลังตามปฏิญญาร่วมอย่างไม่มีกำหนด ย้ำ ชายแดนและเจรจาการค้าสหรัฐฯ แยกออกจากกัน
วันนี้ (17 พ.ย.68) นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักงานนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย พลเรือตรี สุรสันต์ คงสิริ โฆษกกระทรวงกลาโหม พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก นางสาวโชติมา เอี่ยมสวัสดิกุล อธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ นายนิกรเดช พลางกูร อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ แถลงข่าวสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา และการเจรจาการค้าไทยกับต่างประเทศ
นายสิริพงศ์ กล่าวว่า ตั้งแต่วันที่ 10 พฤศจิกายนที่ผ่านมามีเหตุอันไม่พึงประสงค์เกิดขึ้น ทหารไทยได้ไปเหยียบทุ่นระเบิดที่ทางกัมพูชาวางไว้ หลังจากการเซ็นปฏิญญาเพื่อนำไปสู่สันติภาพ ที่กัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ข้อมูลทั้งหมดไม่ว่าจะเกิดจากฝั่งกลาโหมหรือทางรัฐบาล หรือทางกระทรวงการต่างประเทศหรือแม้แต่กระทรวงพาณิชย์ล้วนแล้วแต่เป็นข้อมูลที่ครบถ้วนและถูกต้องทั้งสิ้น แต่หลังจากที่ข้อมูลนั้นออกไปการนำเสนอข่าวสารต่าง ๆ อาจมาในห้วงเวลาที่แตกต่างกัน และนำมาสู่ความสับสนของสังคมว่าสรุปแล้วสถานการณ์ชายแดนไทยกัมพูชาจะเป็นอย่างไรการเดินหน้าเจรจาการค้าระหว่างไทยกับต่างประเทศจะเป็นอย่างไร จึงเป็นที่มาของการมานำเสนอข้อมูลข่าวสารให้กับประชาชนรับทราบว่าก้าวย่างต่อไปต่อจากนี้โดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งมีความตั้งใจอย่างหนักแน่นที่จะแก้ไขทั้งปัญหาชายแดนไทยกัมพูชา และต้องการบรรลุข้อตกลงการค้าระหว่างไทยกับต่างประเทศให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี เพื่อนำมาซึ่งประโยชน์สุขของคนไทย และธำรงไว้ซึ่งอธิปไตยของคนไทย จึงได้เชิญฝ่ายความมั่นคง กระทรวงการต่างประเทศ และกระทรวงพาณิชย์มาเล่าให้ฟังว่า จากนี้การระงับปฏิญญาจะระงับอย่างไร และบางอย่างที่ประเทศไทยได้ประโยชน์จะดำเนินการต่อหรือไม่ และกระทรวงการต่างประเทศจะมีบทบาทในเวทีโลกอย่างไร
นายสิริพงศ์ ให้ข้อมูลเพิ่มเติม กรณีการระงับปฏิญญานำไปสู่สันติภาพ ไทย-กัมพูชา จากเดิมที่มีแอ็คชั่นแพลนในการถอนกำลังว่าจะเสร็จสิ้นภายในระยะเวลา 6 เดือน ตอนนี้ได้มีการระงับเรื่องนี้ไปอย่างไม่มีกำหนด ทางรัฐบาลไทยยืนยันจะเดินหน้าในการเก็บกู้ทุนระเบิดในพื้นที่ของไทยอย่างเต็มที่ โดยไม่คำนึงถึงว่าทางกัมพูชาจะเห็นด้วยหรือไม่ แต่ไทยจะเดินหน้าดำเนินการในส่วนนี้ไป
ส่วนการบริหารจัดการพื้นที่หนองจาน-หนองหญ้าแก้ว จ.สระแก้ว ก็จะมีการดำเนินการอยู่ ส่วนการปราบปรามสแกมเมอร์ รัฐบาลไทยก็จะดูหน้าต่อไปโดยใช้กลไกทวิภาคี หากทวิภาคีระหว่างไทยและกัมพูชาดำเนินการได้ก็ให้ดำเนินการต่อไปแต่หากไม่สามารถทำได้ ให้ดำเนินการผ่านกลไกพหุภาคี ซึ่งยังมีกลไกอื่นที่สามารถขับเคลื่อนเรื่องของสแกมเมอร์ได้
ขณะที่การปล่อยเชลยศึกทหาร 18 นายจะเป็นสิ่งสุดท้ายหลังจากที่กองกองทัพไทย รัฐบาล และกระทรวงการต่างประเทศ เห็นว่าความเป็นปรปักษ์ของกัมพูชาหมดสิ้นไปจึงจะเริ่มมีการเจรจาเรื่องการปล่อยเชลยศึกรอบใหม่
ในการปฏิบัติการทั้งหมดนี้ รัฐบาลไทย และกองทัพ ยืนยันจะใช้แนวทางสันติวิธี แต่ขอสงวนสิทธิ์ในการตอบโต้หากโดนยั่วยุตามความเหมาะสม รัฐบาลก็ยังคงให้ความมั่นใจ ว่าในการทำงานของรัฐบาลชุดนี้ ในการบูรณาการร่วมกันของหลายหน่วยงาน เราไม่มีย่อหย่อนต่อสถานการณ์ต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นโดยเฉพาะสถานการณ์ชายแดน ไทย-กัมพูชา
ส่วนข้อกังวลสถานการณ์การค้า ซึ่งมีการยืนยันจากทางกระทรวงการต่างประเทศว่า ประเด็นที่รัฐมนตรีไทยมุ่งสื่อสารกับประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ก็คือการขอให้แยกประเด็นทวิภาคีที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงระหว่างไทย-กัมพูชา ออกจากประเด็นผลประโยชน์ทางการพาณิชย์ระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ซึ่งหลายคนน่าจะได้รับสัญญาณเชิงบวกกับแนวทางของนายกรัฐมนตรีแล้ว ผ่านนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในฐานะประธานอาเซียน ซึ่งจะแยกประเด็นทั้งสองออกจากกัน
หลังจากนายกรัฐมนตรีเดินทางกลับจากสาธารณรัฐประชาชนจีน จะทำหนังสือถึงสหรัฐอเมริกา เพื่อแสดงเจตจำนง ที่นายกรัฐมนตรีได้พูดคุยทางโทรศัพท์กับผู้นำสหรัฐฯ ไปอย่างเป็นทางการ เพื่อให้ครบถ้วนตามหลัก