วีระ นำชาวบ้านคุยนายอำเภอโคกสูง หลัง “กัมพูชา” ขอเลื่อนประชุมสำรวจปักหมุดชั่วคราว ซัดเดินเกมยื้อเวลา จี้ รัฐบาล-กองทัพกำหนดท่าทีให้ชัดเจน
วันนี้ (17 พ.ย.68) นายวีระ สมความคิด เลขาธิการเครือข่ายประชาชนต้านคอรัปชัน พร้อมด้วยชาวบ้านหนองจาน ที่มีที่ดินทำกินอยู่หลักเขตแดน 42-47 เดินทางมาที่ว่าการอำเภอโคกสูง เพื่อพบหารือกับนายอำเภอ ภายหลังฝ่ายกัมพูชา ขอเลื่อนการประชุมสำรวจ และการจัดทำเขตแดนชั่วคราวออกไปเป็นวันที่ 18 พ.ย.68
โดยนายวีระ เผยว่า ไม่รู้สึกแปลกใจ เพราะตนย้ำมาตลอดว่า “ไม่เชื่อว่าจะมีการเริ่มต้นในวันนี้” เนื่องจากที่ผ่านมาเห็นถึงความไม่จริงจังจากฝ่ายกัมพูชาอย่างต่อเนื่อง และยังไม่มั่นใจด้วยซ้ำว่า พรุ่งนี้จะเดินหน้าตามกำหนดหรือไม่ ซึ่งปัญหาพิกัดปักหมุดยังเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันไม่จบ โดยเฉพาะเอกสารจาก JBC ที่กัมพูชาอ้างอิง ซึ่งรู้กันล่วงหน้าเป็นเดือนว่า ไทยไม่ยอมรับ
ทั้งนี้ ตนเองมองว่าการเลื่อนครั้งนี้อาจเป็นเพราะกัมพูชาประเมินแล้วว่า “ตัวเองไม่ได้เปรียบ” หากมาเจรจา และลงพื้นที่จริง จึงตัดสินใจชะลอ และอาจมีสัญญาณจากผู้ใหญ่ในประเทศให้รอไว้ก่อน ย้ำว่า ต่อให้เจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติการทั้งสองฝ่ายพร้อมทำงานก็ไม่สามารถเดินหน้าต่อได้ หากผู้บังคับบัญชายังไม่อนุมัติ
ผู้สื่อข่าวถามถึงโอกาสที่ไทยจะได้ดินแดนกลับคืนภายใน 3 เดือน นายวีระ ปฏิเสธทันทีว่า “เลิกพูดเลย” เพราะกรอบเวลา 90 วันเป็นเพียงขั้นตอนให้คณะทำงานทั้งสองฝ่ายออกไปตรวจพื้นที่และปักหมุดเท่านั้น หลังจากนั้นต้องส่งผลสำรวจให้รัฐบาลของแต่ละประเทศพิจารณาว่าจะเห็นชอบหรือไม่ ซึ่งอาจทำให้กระบวนการยืดเยื้อได้อีก และด้วยเวลาที่เหลืออยู่ของรัฐบาลชุดปัจจุบัน “ไม่ทันแน่นอน”
นายวีระ ยังตั้งข้อสังเกตว่า เหตุผลดังกล่าวไม่สมเหตุสมผล เพราะฝ่ายไทยได้ส่งพิกัดให้กัมพูชาทราบล่วงหน้าเป็นเดือน ตั้งแต่หลังการประชุมตามข้อตกลงสันติภาพเมื่อ 26 ต.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งมีการระบุพิกัดเส้นสีแดง และเส้นสีน้ำเงินไว้อย่างชัดเจน กัมพูชารู้ข้อมูลครบถ้วนแล้ว การตอบรับหรือไม่เห็นด้วยสามารถแจ้งได้ภายในวันเดียว ไม่จำเป็นต้องเลื่อนการลงพื้นที่
นายวีระ กล่าวอีกว่า ตามที่ตกลงกันไว้ การสำรวจควรเกิดขึ้นในวันนี้ แต่กลับถูกเลื่อนเพื่อกลับมาหารือใหม่อีกครั้ง ทำให้มองว่าเป็นความพยายาม “ยืดเวลา” และสะท้อนถึงความไม่จริงใจ ซึ่งผลจากการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม หรือ JBC จึงแทบไม่เกิดผลในทางปฏิบัติ ดังนั้น รัฐบาลและกองทัพไทยต้องกำหนดท่าทีให้ชัดเจน โดยเฉพาะประเด็นพื้นที่ที่กล่าวว่ากัมพูชารุกล้ำ ได้แก่ พื้นที่บ้านหนองจาน 64 ไร่ และบ้านหนองหญ้าแก้วอีก 25 ไร่ ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับบันทึกความเข้าใจปี 2543 แต่เป็นการรุกล้ำที่เกิดขึ้นมานานนับสิบปี และควรให้กัมพูชาถอนกำลังออกก่อน จึงค่อยเจรจาเรื่องเส้นเขตแดนในส่วนที่มีข้อพิพาทต่อไป
ด้านนายนริศ ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา นายอำเภอโคกสูง เผยถึงความคืบหน้าแผนการประชุมเพื่อจัดทำหมุดเขตแดนชั่วคราวบริเวณหลักเขต 42–47 ในพื้นที่บ้านหนองจาน–บ้านหนองหญ้าแก้ว หลังมีการกำหนดให้ประชุมร่วมระหว่างทีมแม่กองสนามของไทยและฝ่ายกัมพูชาในวันนี้ (17 พ.ย.) เพื่อวางแผนก่อนลงพื้นที่ปฏิบัติงานจริง แต่ล่าสุดการประชุมดังกล่าวถูกเลื่อนออกไปเป็นวันที่ 18 พ.ย. ซึ่งนายอำเภอโคกสูง ระบุว่า มี “เหตุขัดข้องบางประการ” จากฝั่งกัมพูชา โดยเฉพาะเอกสารประกอบการประชุมที่ยังไม่เรียบร้อย ทำให้ต้องขอเลื่อนการนัดหมายออกไปหนึ่งวัน
นายนริศ กล่าวว่า หลังการประชุมในวันที่ 18 พ.ย. จะทำให้ทราบรายละเอียดชัดเจนว่า การสำรวจและปักหมุดชั่วคราวจะเริ่มต้นตรงจุดใด ขั้นตอนเป็นอย่างไร และมีกำหนดแล้วเสร็จเมื่อใด โดยในส่วนของอำเภอโคกสูง พร้อมร่วมสนับสนุนการทำงานของแม่กองสนามอย่างเต็มที่
ส่วนรายชื่อผู้แทนกัมพูชาที่จะเข้าร่วมประชุมในวันพรุ่งนี้ นายอำเภอยอมรับว่า ยังไม่ทราบแน่ชัด เนื่องจากเป็นการประสานงานในระดับทีมแม่กองสนามโดยตรง ขณะที่ฝ่ายไทยยืนยันเตรียมความพร้อมไว้แล้ว และรอความชัดเจนจากการประชุมร่วมในวันพรุ่งนี้
ขณะที่นางนงรัตน์ จันทะมา ชาวบ้านหนองจาน เปิดเผยว่า การเลื่อนนัดครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะที่ผ่านมาฝั่งกัมพูชาไม่เคยปฏิบัติตามข้อตกลงหรือนัดหมาย ทั้งการประชุมเล็ก หรือการหารือสำคัญ ทำให้ชาวบ้านต้องรอโดยไร้คำตอบ ฝั่งกัมพูชามักยืดเวลา เพราะได้เปรียบจากการอยู่บนพื้นที่ของไทย จึงไม่จำเป็นต้องเร่งเจรจาหรือปฏิบัติตามสนธิสัญญา พร้อมย้ำว่า “ไม่ว่าจะเรื่องเล็ก เรื่องใหญ่ เขาไม่เคยทำตามสัญญาเลย”
ชาวบ้านสะท้อนว่าตอนนี้หมดความคาดหวังต่อการเจรจาในวันพรุ่งนี้ และเรียกร้องให้รัฐบาลไทยดำเนินมาตรการที่เด็ดขาด หลังสถานการณ์ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ ความเป็นอยู่ ความมั่นคง และความปลอดภัยของประชาชน ทั้งนี้ ชาวบ้านหลายรายเรียกร้องให้ฝ่ายกัมพูชาถอนกำลังออกจากพื้นที่ไทยก่อน แล้วค่อยเปิดโต๊ะเจรจาอย่างเป็นทางการ เพราะหากปล่อยให้สถานการณ์ยืดเยื้อ ฝั่งกัมพูชาจะคงความได้เปรียบและไม่มีความจำเป็นต้องทำตามข้อตกลงใด ๆ
ด้านนางประภารัตน์ กันนิยม ชาวบ้านในพื้นที่ ให้สัมภาษณ์ทั้งน้ำตา บอกว่า รัฐบาลไทยควรทำงานเชิงรุกได้แล้ว เพราะที่ผ่านมาเราตั้งรับกันเยอะแล้ว วินาทีนี้เราต้องรุกให้หนักขึ้น ทางการไทยไม่ควรปล่อยให้ประชาชนอยู่อย่างหวาดระแวงแบบนี้ แม้ทหารจะคอยปกป้อง แต่ชาวบ้านก็ไม่เคยสงบสุข ยังระแวงอยู่ตลอด