จับตาสัญญาณเชิงบวก ปลาหมอคางดำ ลดจำนวนลง กรมประมงโชว์ความสำเร็จโมเดลจัดการเอเลี่ยนสปีชีส์ ชุมชนตื่นตัวจับปลาหมอคางดำ ขึ้นมาเป็นอาหารและแปรรูปสร้างรายได้
นางสาวทิวารัตน์ เถลิงเกียรติลีลา ผู้เชี่ยวชาญด้านความหลากหลายทางชีวภาพด้านการประมง กรมประมง ยืนยันว่า ประชาชนรับรู้เรื่องปลาหมอคางดำในทุกระดับและทุกพื้นที่ นับเป็นความสำเร็จในการสร้างความเข้าใจ ซึ่งไม่ใช่แค่การรับรู้ข่าวสาร แต่หมายถึงการที่สังคมตระหนักถึงภัยคุกคามและพร้อมจะเข้ามามีส่วนร่วมในการจัดการแก้ไขปัญหา
การจัดการปัญหาเอเลี่ยนสปีชีส์ไม่ได้มีแค่ปลาหมอคางดำเท่านั้น กรมประมงตระหนักดีถึงปัญหา "ปลาลักลอบนำเข้า" เป็นประตูบานสำคัญของการรุกรานในอนาคต มาตรการตอบโต้คือการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 2 ล้านบาท และผู้กระทำผิดยังต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการกำจัดสัตว์น้ำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ระบบนิเวศด้วย โดยมีการจัดตั้ง คณะกรรมการระดับสถาบันด้านความปลอดภัยและความหลากหลายทางชีวภาพ เพื่อพิจารณาการอนุญาตนำเข้าสัตว์น้ำต่างถิ่นอย่างรัดกุมที่สุด
จากการติดตามสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง มีสัญญาณเชิงบวก ที่น่าจับตา เมื่อเทียบระหว่างปี 2567 กับปี 2568 พบว่า พื้นที่ที่มีการรุกรานมากมีแนวโน้มลดลงในหลายพื้นที่ เป็นผลจากความร่วมมือของประชาชน เช่น ชุมชนไร่เก่า อ.สามร้อยยอด จ.ประจวบคีรีขันธ์ ที่ได้ร่วมมือในโครงการจัดการชนิดพันธุ์ต่างถิ่น จับปลาหมอคางดำขึ้นมาเป็นอาหารและแปรรูปสร้างรายได้ ซึ่งกลายเป็น "แรงจูงใจเชิงเศรษฐศาสตร์" ให้ชาวประมงในพื้นที่ลุกขึ้นมาจัดการปัญหาด้วยตนเอง
นางสาวทิวารัตน์ กล่าวอีกว่าการจัดการในระยะยาวจะเน้นที่ "การป้องกัน" และ "การติดตามตรวจสอบที่รวดเร็ว" ในระยะแรกก่อนการแพร่ระบาด และเมื่อเกิดการแพร่ระบาดแล้ว วิธีการจัดการที่ดีที่สุดคือการลดจำนวนลงในระดับที่ควบคุมได้ ซึ่งพิสูจน์แล้วว่า การสร้างแรงจูงใจในการใช้ประโยชน์ เช่น การนำไปแปรรูปเป็นอาหารหรืออาหารสัตว์น้ำ
ทั้งนี้การจัดการปัญหาสัตว์ต่างถิ่นด้วยการกำจัด ต้องเดินควบคู่ไปกับ "การฟื้นฟูระบบนิเวศแหล่งน้ำ" ของไทยที่เสื่อมโทรมลง ซึ่งเป็นปัจจัยที่เปิดโอกาสให้เอเลี่ยนสปีชีส์สามารถเพิ่มจำนวนขึ้นมาแทนที่สัตว์น้ำพื้นเมืองได้ การบูรณาการจัดการแหล่งอาศัยให้มีสภาพที่ดีนับเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยคงความอุดมสมบูรณ์และความหลากหลายทางชีวภาพไว้ได้