ข่าวเย็นประเด็นร้อน - ทำกันเงียบ ๆ จนสุดท้ายได้ผลสรุปเป็นที่น่าพอใจ หลังยึดทรัพย์เครือข่ายสแกมเมอร์ได้มากกว่า 1 หมื่นล้านบาท จากเครือข่ายข้ามชาติรายใหญ่ที่เคยมีการข่าวกันออกมาก่อนหน้านี้ ทั้ง "ก๊ก อาน" "เฉิน จื้อ" และที่เอางง ๆ หน่อย ก็คือ "เบน สมิธ" ที่เดิมบอกว่าไม่เกี่ยวข้อง
เมื่อวานนี้มีข่าวออกมาจาก สำนักงาน ปปง. ระบุถึง มติยึด และอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดขบวนการสแกมเมอร์ ที่มีลักษณะเป็นองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ 4 คดีสำคัญ
คดีแรกเครือข่าย "ก๊ก อาน" เจ้าของอาคาร 25 ชั้น และ 18 ชั้น ในประเทศกัมพูชา ปปง. มีมติยึด อายัดทรัพย์ รวม 90 รายการ มูลค่า 467 ล้านบาท
รายต่อมาคือ "เฉินจื้อ" กับพวก ผู้ก่อตั้ง และประธานกลุ่มบริษัท Prince Holding Group กลุ่มธุรกิจข้ามชาติในประเทศกัมพูชา ยึดทรัพย์ไปอีก 102 รายการ มูลค่ากว่า 373 ล้านบาท
และอีกคดีเป็นคนไทย หลอกลงทุนผ่านแอปพลิเคชัน ยึดทรัพย์เพิ่ม 31 รายการ มูลค่า 46 ล้านบาท
แต่ 1 ใน 4 รายการที่เป็นการยึดทรัพย์ใหญ่ที่สุด และชวนประหลาดใจที่สุด คือการยึดทรัพย์เครือข่ายของ "เบน สมิธ" ที่มีพยานหลักฐานเชื่อมโยงจาก นางสาวแตงไทย กับพวก หลอกผู้เสียหาย โอนเงินผ่านการทำธุรกรรมบัญชีที่ได้รับมอบอำนาจจาก นายยิม เลียก ประธานของ BIC Bank
ที่ถูกสหรัฐคว่ำบาตร แล้วเส้นเงินเชื่อมไปถึง นายเบน สมิธ นักธุรกิจระหว่างประเทศ จนเป็นที่มาของคำสั่งยึด และอายัดทรัพย์ 66 รายการ แต่มีมูลค่ามากถึงกว่า 9,280 ล้านบาท
เพื่อคลายข้อสงสัย ก็ต้องไปฟังการแถลงสรุปผลการอายัดทรัพย์ ที่มี นายอนุทิน ชาญวีรกุล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ไปร่วมกันแถลงข่าว อย่างแรกยืนยันได้ว่ากรณีของ "เบน สมิธ" มีเส้นทางการเงินเชื่อมโยงจากบัญชีม้า ฟอกเงินผ่านบริษัทที่เปิดขึ้นมาบังหน้า และตัวเลขจริง ๆ ไม่ใช่แค่ 9,000 กว่าล้านบาท แต่เป็นกว่า 15,000 ล้านบาท
เมื่อชัดเจนว่ามีเส้นทางการเงินไปถึง ก็ต้องมีคำถามถึง 2 บิ๊กนักการเมือง อย่าง นายวรภัค ธันยาวงษ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และ ร้อยเอก ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพราะต่างก็ยอมรับว่ารู้จักกับ "เบน สมิธ"
เรื่องนี้ นายกรัฐมนตรี พูดเหมือนเดิมว่า รู้จักกัน รู้จักกันได้ แต่อย่างที่บอกว่า หากพยานหลักฐานเชื่อมโยงถึงใคร ก็ต้องดำเนินการกับคนนั้น ไม่มีการละเว้น ให้ยึดหลัก "ปิดชื่อ ถือพฤติกรรม" ใครทำไม่ดีไว้ก็ต้องรับผลตามกฎหมาย
อีกคนที่ออกมาเคลื่อนไหวเรื่องนี้ทันทีที่มีข่าวก็คือ "สส.โรม" นายรังสิมันต์ โรม สส.พรรคประชาชน โพสต์ข้อความใจความสำคัญสรุปได้ว่า การจับกุมที่เกิดขึ้น ปฏิเสธไม่ได้ว่าเครือข่ายนี้ เชื่อมโยงกับผู้มีอิทธิพลทั้งใน และต่างประเทศ ยังคงยืนยันคำเดิม ว่าต้องปลด "ร้อยเอก ธรรมนัส" ออกจากทุกตำแหน่ง เพราะถ้ายังคงอยู่ในตำแหน่งสำคัญ อาจสร้างแรงกดดันต่อกระบวนการยุติธรรม และการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐได้
สำหรับการขยายผลดำเนินคดี ตำรวจบอกว่า ออกหมายจับผู้ต้องหาไป 42 คน เพิ่งจับกุมได้แค่ 29 คน ยังเหลืออีก 13 คน และในจำนวนนี้ 3 คน ที่สำคัญก็คือ นายยิม เลียก, ภรรยาชาวไทย และบัญชีม้าคนสำคัญของเครือข่าย ที่ยังหลบหนีอยู่ในต่างประเทศ