เพื่อไทย โต้ อนุทิน พ้น มท.1 ไม่เกี่ยวปมไม่ให้สัญชาติ เบน สมิธ เชื่อสัมพันธ์ไม่ใช่แค่เพื่อนของเพื่อน

เพื่อไทย โต้ อนุทิน พ้น มท.1 ไม่เกี่ยวปมไม่ให้สัญชาติ เบน สมิธ เชื่อสัมพันธ์ไม่ใช่แค่เพื่อนของเพื่อน

View icon 111
วันที่ 4 ธ.ค. 2568 | 16.36 น.
ข่าวออนไลน์7HD
แชร์
โฆษกเพื่อไทย โต้ อนุทิน พ้น มท.1 เพราะทำงานไม่เป็น เกียร์ว่างตัดน้ำไฟคอลเซ็นเตอร์ ไม่เกี่ยวปมไม่ให้สัญชาติ เบน สมิธ เชื่อสัมพันธ์ทั้งสองคนเจอกันหลายครั้ง ไม่ใช่แค่เพื่อนของเพื่อน

วันนี้ (4 ธ.ค.68) นายศึกษิษฏ์ ศรีจอมขวัญ โฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงข่าวตั้งข้อสังเกต กรณีมีภาพนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ร่วมเฟรมกับนายเบญจมิน เมาเออร์เบอร์เกอร์ หรือเบน สมิธ ว่า ถึงแม้ว่าจะเป็นภาพเก่าตามที่ได้รับการชี้แจง แต่รูปที่ออกมาก็เห็นได้ชัดว่าอยู่ในหลายสถานที่ หลายเวลา หลายกรรม หลายวาระ ซึ่งล่าสุดนายอนุทิน บอกว่าเจอกัน 5-6 ครั้ง แสดงว่าความสัมพันธ์คงไม่ใช่แค่การเจอกันผ่านๆ ในงาน ขอตั้งข้อสังเกตว่าความสัมพันธ์นี้ลึกซึ้งแค่ไหน

ประเด็นที่สอง ที่ผ่านมาสังคมและพรรคเพื่อไทย ตั้งคำถามเกี่ยวกับบุคคลในรูปหลายครั้งว่ามีความเกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์หรือไม่ และมีคำถามไปยังบุคคลในรัฐบาลโดยเฉพาะนายกรัฐมนตรีหลายครั้งว่า ทำไมก่อนหน้านี้ นายกฯ ไม่เคยมีความโปร่งใสในการชี้แจงเรื่องเหล่านี้มาก่อน จนกระทั่งมีรูปออกมาในสื่อ แล้วค่อยมาชี้แจง

ประเด็นที่สาม เรื่องราวในรูปเหล่านี้เกี่ยวโยงกับความล่าช้าในการจัดแก๊งคอลเซ็นเตอร์ของรัฐบาลหรือไม่ และเกี่ยวกับการจัดการกับบุคคลในรัฐบาล ที่มีข่าวเกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์หรือไม่ พร้อมยกตัวอย่างกรณีรัฐมนตรีกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ออกมาพูดตอนรับตำแหน่งใหม่ๆ ว่ามีคนเสนอสินบน 40 ล้าน ซึ่งจนถึงขณะนี้ก็ยังไม่ได้รับคำตอบว่าคนคนนั้นเป็นใคร จึงต้องตั้งข้อสังเกตว่ามีความเชื่อมโยงกันหรือไม่

ส่วนกรณีที่นายอนุทิน ระบุว่าพ้นตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เพราะไม่ให้สัญชาติไทยกับเบน สมิธ นั้น  จริงๆแล้วไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องสัญชาติ แต่มีเหตุผลข้อเดียวคือท่านทำงานไม่เป็น ตั้งแต่การตัดน้ำตัดไฟคอลเซ็นเตอร์ที่ล่าช้า รอการตัดริบบิน และการทำงานไม่เป็นก็เป็นที่ประจักษ์ต่อประชาชนทั่วประเทศ ในตอนที่ท่านเข้ามาเป็นนายกฯ จากการบริหารจัดการน้ำ ซึ่งตอนนี้ประชาชนหลายแสนคนแช่น้ำอยู่ 4 เดือนแล้ว  สร้างความเสียหายเป็นวงกว้างในภาคใต้ ทำให้เห็นชัดว่านายกรัฐมนตรีทำงานไม่เป็น และน่าจะเป็นนายกรัฐมนตรีที่ใช้เวลาสั้นที่สุดในการพิสูจน์ตัวเองว่าทำงานไม่เป็น และดูจากทั้งการบริหารและการสื่อสารของรัฐบาล น่าจะเป็น “you have no idea  what you doing มากกว่า (คุณไม่รู้ว่าคุณกำลังทำอะไรอยู่มากกว่า)”

ข้อมูลเหล่านี้ยิ่งตอกย้ำว่า พรรคเพื่อไทยในฐานะพรรคฝ่ายค้านต้องใช้กลไกในสภาในการทำหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาล และขอย้ำว่าไม่มีดีลใดๆ ทั้งสิ้น การอภิปรายไม่ไว้วางใจเป็นสิทธิและหน้าที่ของฝ่ายค้าน การตัดสินใจยุบสภาเพื่อหนีการตรวจสอบเป็นการตัดสินใจของรัฐบาล แบ่งกันให้ชัดเจน และขอตั้งคำถามไปยังพรรคฝ่ายค้านอื่นๆ ว่าตอนนี้รัฐบาลบริหารจัดการในรูปแบบนี้ ความเสียหายยิ่งใหญ่ขนาดนี้ เพียงพอหรือยังที่จะยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ

เมื่อถามว่า พรรคเพื่อไทยคิดว่านายกฯ เคลียร์ตัวเองชัดเจนหรือไม่ นอกจากการบอกว่าเป็นเพื่อนของเพื่อนของเพื่อน นายศึกษิษฎ์ กล่าวว่า ถ้าเป็นเพื่อนของเพื่อนของเพื่อนจริงๆ เจอกันเต็มที่ก็แค่ครั้งหรือ 2 ครั้ง แต่จากรูปที่เห็น ต่างกรรมต่างวาระ มีทั้งกินข้าวด้วยกัน เดินทางไปต่างประเทศด้วยกัน ตรงนี้คงไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าเป็นแค่เพื่อนของเพื่อน แต่น่าจะมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกว่านั้น

ส่วนที่ในภาพมีนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง อยู่ด้วย นายกฯ ควรตรวจสอบเหมือนกรณีของ นายวรภัค ธันยาวงศ์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง หรือไม่ นายศึกษิษฎ์ กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยเตรียมข้อมูลไว้ตรวจสอบรัฐมนตรีที่บริหารพร้อมๆ กัน ส่วนจะยื่นใครบ้างต้องไปพิจารณาอีกที แต่ที่แน่ๆ นายกฯ เป็นผู้ที่มีความรับผิดชอบสูงสุด อยู่ในลิสต์แน่นอน

ส่วนกรณีนายกฯ ระบุว่าเรื่องนายเบน สมิธ เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ นายอนุทิน หลุดจากเก้าอี้รัฐมนตรีมหาดไทย ในรัฐบาลน.ส.แพทองธารนั้น นายศึกษิษฎ์ ยืนยันว่า เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับการไม่ให้สัญชาติ นายเบน สมิธ แต่การที่ตัดสินใจให้นายอนุทินพ้นตำแหน่ง เพราะทำงานไม่เป็น บริหารจัดการไม่ได้ ตั้งแต่คอลเซ็นเตอร์ ที่ล่าช้าในการตัดน้ำตัดไฟ จนกระทั่งในตอนนี้ประชาชนทั้งประเทศก็เห็นประจักษ์แล้วว่าทำงานไม่เป็น

ส่วนกรณีที่มองว่าภาพที่เปิดมาตอนนี้อาจถูกโยงว่าเป็นเรื่องการเมือง ดิสเครดิตการทำงานของรัฐบาลนายอนุทินนั้น นายศึกษิษฎ์ กล่าวว่า เห็นได้จากการบริหารจัดการน้ำท่วมภาคใต้ ต่อให้ไม่มีภาพนี้ออกมา การบริหารจัดการของนายกฯ ก็อยู่ขั้นต่ำมาก ภาพนี้ออกมาก็คงไม่ได้ทำให้แย่ไปมากกว่านี้ แต่มันก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าการบริหารจัดการของนายกฯ ไม่ได้เข้าตาประชาชน