ดร.โอฬาร ชี้ต้นเหตุขัดแย้งไทย-กัมพูชา คือ "ระบอบฮุนเซน" หวัง “ทรัมป์” จริงใจแก้ต้นตอ เพราะระบอบฮุนเซนคือภัยคุกคามผ่านอาชญากรรมสแกมเมอร์และการฟอกเงินในระดับนานาชาติ
วันนี้ (14 ธ.ค.68) รศ.ดร.โอฬาร ถิ่นบางเตียว อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา ให้ความเห็นต่อ ปัญหาความขัดแย้งไทยกัมพูชาและการเข้ามามีส่วนร่วมของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ว่า ประเด็นที่ประชาคมโลก โดยเฉพาะสหรัฐฯ ควรให้ความสำคัญอย่างแท้จริง ในเรื่องความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชา คือ เรื่องการมีอยู่ของ ระบอบฮุนเซนซึ่งเป็นต้นตอของปัญหาด้านความมั่นคงและอาชญากรรมข้ามชาติในภูมิภาค
รศ.ดร.โอฬาร ระบุว่า ประเทศไทยไม่ได้มีปัญหากับประเทศกัมพูชา หรือประชาชนกัมพูชา แต่มีปัญหากับระบอบการเมืองที่อาศัยระบบอุปถัมภ์ทุนผิดกฎหมาย เครือข่ายสแกมเมอร์ และการฟอกเงิน เพื่อสร้างและค้ำจุนอำนาจทางการเมือง กองทัพ และกองกำลังติดอาวุธรับจ้าง ซึ่งส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพของภูมิภาคและความมั่นคงของหลายประเทศทั่วโลก
ในมุมมองทางรัฐศาสตร์ หากประธานาธิบดีทรัมป์ ต้องการมีบทบาทในการสร้างสันติภาพอย่างแท้จริง การแก้ไขปัญหาจำเป็นต้องมุ่งไปที่โครงสร้างอำนาจของระบอบดังกล่าว ไม่ใช่การกดดันหรือชี้นำประเทศเพื่อนบ้านที่กำลังปกป้องอธิปไตยของตนเอง เพราะกัมพูชาไม่ใช่ศัตรูของไทย แต่ระบอบฮุนเซนคือภัยคุกคามผ่านอาชญากรรมสแกมเมอร์และการฟอกเงินในระดับนานาชาติ
รศ.ดร.โอฬาร ให้ความเห็ฯถึงการสื่อสารตอบโต้ของนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี ต่อนายโดนัลด์ ทรัมป์ประธานาธิบดีสหรัฐ ว่า นายอนุทิน ได้สร้างความสนใจและความประหลาดใจแก่ผู้นำในหลายประเทศ รวมถึงประชาชนไทยในวงกว้าง เนื่องจากไม่ได้เป็นเพียงการแสดงท่าทีทางการทูตตามกรอบแบบแผนเดิม หากแต่สะท้อนความกล้าหาญทางการเมืองและภาวะผู้นำในการเผชิญแรงกดดันจากประเทศมหาอำนาจ ด้วยการใช้ข้อมูลและเหตุผลอย่างตรงไปตรงมา
ลักษณะการสื่อสารดังกล่าวพบได้ไม่บ่อยในหมู่ผู้นำของประเทศขนาดกลาง ซึ่งโดยทั่วไปมักต้องดำรงอยู่ภายใต้โครงสร้างอำนาจระหว่างประเทศที่ถูกครอบงำด้วยปัจจัยด้านเศรษฐกิจ ความมั่นคง และการเมืองระหว่างประเทศ การแสดงจุดยืนของผู้นำไทยในครั้งนี้จึงสะท้อนถึงความมั่นใจในศักดิ์ศรีของรัฐชาติบนเวทีโลก
แม้ถ้อยคำที่ใช้จะมีลักษณะแข็งกร้าว และอาจก่อให้เกิดความกังวลต่อผลกระทบด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แต่ในบริบทของภาวะวิกฤตด้านความมั่นคง การแสดงออกถึงความชัดเจนและความเด็ดขาดของผู้นำถือเป็นองค์ประกอบสำคัญ ผู้นำทางการเมืองไม่ได้มีบทบาทเพียงการบริหารประเทศ หากยังต้องทำหน้าที่เชิงสัญลักษณ์ในการสะท้อนความรู้สึกร่วมของสังคม และยืนยันว่ารัฐบาลยืนอยู่ข้างประชาชนในยามที่ประเทศ เผชิญแรงกดดันจากอำนาจภายนอก