เด็กเสียนิสัย ชูวิทย์กระตุกส้ม ในเวทีระหว่างประเทศพูดภาษาอังกฤษเก่ง ไม่ได้เกี่ยวข้อง มันอยู่ที่กึ๋น ไม่ได้หิวสงคราม เพราะไทยไม่ได้ก่อ แต่เหตุมาจากฮุนเซนเสียผลประโยชน์เรื่องสแกมเมอร์ มันไม่ใช่การค้าที่ตรงไปตรงมา จะได้ “วินวิน” แต่ต้อง “เราวิน” เพื่อสั่งสอนจิ้งจอกเฒ่าฮุนเซน
วันนี้ (15ธ.ค.68) นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ ให้ความเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองผ่านพื้นที่เฟซบุ๊กส่วนตัว หลังนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ออกมาระบุว่า “หากพิธา (นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์) เป็นนายกฯ วันนั้น สถานการณ์ชายแดนจะไม่มาถึงจุดนี้“ โดยระบุว่า “นี่คือสิ่งที่คุณธนาธรเข้าใจผิดอย่างมาก”
นายชูวิทย์ ให้ความเห็นว่า หากคุณพิธาเป็นนายกฯ ในวันนั้น นอกจากสงครามจะยังเกิดเหมือนเดิมแล้ว สถานการณ์จะบานปลายยิ่งกว่าเก่า ไทยจะเสียดินแดนให้กับ “จิ้งจอกเฒ่าฮุนเซน” (สมเด็จฯฮุนเซน ประธานวุฒิสภา กัมพูชา) พร้อมขยายความด้วยว่า ทำไมผมกล่าวเช่นนั้น ลองฟังเหตุผล
เทียบกันระหว่าง “พิธา กับ ฮุนเซน” ปอนด์ต่อปอนด์ เหมือนเอามวยรุ่นไลท์เวต ไปขึ้นเวทีชกกับรุ่นเฮฟวีเวต ไม่ใช่คุณพิธาไม่เก่ง แต่องค์ความรู้ ประสบการณ์ห่างชั้นมาก “จิ้งจอกเฒ่าฮุนเซน” อยู่ในสนามรบตั้งแต่ “คุณพิธา” ยังไม่ได้ตั้งไข่
“ฮุนเซน” เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ ตั้งแต่อายุ 27 ปี ไม่ยึดถืออุดมการณ์สุดโต่งแบบคุณธนาธร คุณพิธา คุณเท้ง (นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ) แห่งพรรคประชาชน “ฮุนเซน” เติบโตเป็นนักการเมืองสายปฏิบัติ ยอมเจรจาปรับตัวต่อรอง เป็นนักรบจนเสียตาไป 1 ข้าง ผ่านประสบการณ์หลากหลายเจียนอยู่เจียนตาย จนต้องไปพึ่งเวียดนามเพื่อให้ได้ชัยชนะ ฮุนเซนเป็น “สายปฏิบัติ“ ไม่ใช่ “สายอุดมคติ” อย่างพรรคประชาชน
นายชูวิทย์ มองว่า พรรคประชาชนเป็นการเมืองแบบที่ไม่ปรับตัว ยึดถือความคิดตัวเอง ตรง ๆ ทื่อ ๆ ไม่รู้จักชั้นเชิงการเมือง เล่นเกมการเมืองในประเทศที่ไม่มีใครเล่นด้วย แต่เป็นเกมที่ต้องเล่น ทำให้พรรคประชาชนโดดเดี่ยวไม่มีใครเอาด้วย พรรคประชาชนต้องรู้จักระบบการเมืองไทยให้ดี และต้องใช้เวลาในการเปลี่ยนแปลง ไม่สามารถพลิกฟ้าด้วยฝ่ามือ
แม้เข้าใจแนวทางอุดมการณ์ของพรรค แต่เมื่อเกมการเมืองมีคู่แข่งขันที่พลิกแพลงมาก มีประสบการณ์ เจนจัดกับระบบ การที่พรรคประชาชนจะยึดถือความตรงไปตรงมา เป็นสิ่งดีที่จะใช้กับประชาชน แต่กับระบบการเมืองไม่สามารถตอบโจทย์ได้ หากขาดความแหลมคม เล่ห์เหลี่ยมที่จำเป็นต้องใช้ในการเจรจาต่อรอง ยิ่งเป็นช่วงสงครามถูกรุกรานอธิปไตย ต้องแสดงท่าทีแข็งกร้าว ปกป้องดินแดน ยึดพื้นที่ให้ได้มาก การเจรจาถึงจะได้เปรียบ
“ไม่ได้หิวสงคราม เพราะไทยไม่ได้ก่อ แต่เหตุมาจากฮุนเซนเสียผลประโยชน์ในเรื่อง “สแกมเมอร์” มันไม่ใช่การค้าที่ตรงไปตรงมา จะได้ “วินวินกันทั้ง 2 ฝ่าย“ แต่ต้อง “เราวิน” เพื่อสั่งสอนจิ้งจอกเฒ่าสารพัดพิษฮุนเซน รู้ว่าไทยทันเกมของฮุนเซน“ นายชูวิทย์ ระบุ
การเป็นผู้นำประเทศได้จึงต้องมากประสบการณ์ รู้จักทั้งบุ๋นและบู๊ รู้จักระบบ รู้จักใช้คนเข้ากับสถานการณ์ ยังมีเหตุผลอื่น ๆ อีกมาก ที่หากคุณพิธาเป็นนายกฯ สถานการณ์จะไม่ใช่ที่คุณธนาธรบอกว่า “จะไม่มาถึงจุดนี้เด็ดขาด” แต่กลับจะเลยจุดออกทะเลไปไกล เพราะความด้อยประสบการณ์ทางการเมือง แม้แต่เวทีในประเทศยังยอมถูกหลอก หากเป็นเวทีระหว่างประเทศแม้จะพูดภาษาอังกฤษเก่ง แต่ในเวทีโลกภาษาไม่ได้เกี่ยวข้อง มันอยู่ที่กึ๋น หรือประสบการณ์มากกว่า
นี่คือสิ่งที่คุณพิธา หรือพรรคประชาชนไม่มีเอาเสียเลย หากจะเรียกว่าเป็น “ละอ่อนทางการเมือง“ ก็ว่าได้ จากการพลาดแล้วพลาดอีกตั้งแต่ต้นจัดตั้งรัฐบาล ยันยุบสภา ต้องตอบว่าเพราะอะไรที่พรรคประชาชน ที่ได้คะแนนเสียงมากสุดเป็นอันดับหนึ่ง ถึงไม่ได้เป็นแกนนำรัฐบาล กลับถูกเบี้ยวแล้วเบี้ยวอีก แม้โอกาสมาอยู่ต่อหน้า แต่ด้วยความซื่อไปเชื่อใจคุณอนุทินที่มีคนกำกับการแสดงบงการอยู่เบื้องหลัง
ที่สำคัญคือความดื้อรั้น มั่นใจในตัวเอง ที่มีมากเกินไปจนไม่ฟังใคร ตามสไตล์คนรุ่นใหม่ไฟแรงอย่างพรรคประชาชนของคุณธนาธร จะทำให้พังตั้งแต่ต้นยันจบ คุณธนาธรคงจำในสิ่งที่พูดเองเมื่อไม่นานนี้กรณี “เขากระโดง” และ “ฮั้ว สว.” ได้ดี หรือกระทั่งตอนโหวตให้คุณอนุทินเป็นนายกฯ แล้วหวังจะให้พรรคภูมิใจไทยแก้รัฐธรรมนูญให้ภายใน 4 เดือน แล้วป่านนี้มันได้เป็นอย่างที่คุณธนาธรพูดเอาไว้ไหม ทั้งที่ใครต่อใครก็เตือนไว้ว่า ไม่มีใครทำการเมืองแบบนี้ แต่คุณวิโรจน์ (นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร) ยืนยันเองว่า “ทำการเมืองแบบซื่อ ๆ ตรงไปตรงมา
แล้วคุณอนุทินเขาตรง ๆ ซื่อ ๆ กับพรรคประชาชนหรือไม่ อย่างน้อยประสบการณ์อย่างนี้ ได้สอนอะไรให้พรรคประชาชนได้บ้างผมมิได้มีเจตนจะดูถูก ลิดรอนสิทธิ ความคิด ความเชื่อมั่น ของพรรคประชาชนแต่อย่างใด เพียงแต่ความคิดของผู้นำจิตวิญญานอย่างคุณธนาธร มิได้มีผลดีใด ๆ กับประเทศชาติ ประชาชน จึงจำเป็นต้องกระตุกไม่ให้เสียนิสัย
นายชูวิทย์ ให้ความเห็นทิ้งท้ายว่า แม้อุตส่าห์จัดอีเวนต์ขอโทษประชาชนที่ทำผิดพลาด แต่ยังวาดฝันขอได้เกิน 250 สส. เป็นพรรคเดี่ยวเพื่อจัดตั้งรัฐบาลอีก คิดแบบนี้นี่ไงถึงต้องทำความเข้าใจกันใหม่ว่า “ไม่ใช่ขอโทษ แต่กลับขอโอกาสเพิ่มมากขึ้นอีก” ที่ขอโทษก็ไม่ทราบว่าขอโทษที่แก้ไขรัฐธรรมนูญไม่สำเร็จ หรือขอโทษที่ไปหลงเชื่อคารมคมหอกของพรรคภูมิใจไทย เมื่อทำพลาด ประชาชนให้ส้มไปมากในคราวเลือกตั้งครั้งที่แล้ว เกินที่พรรคประชาชนจะคาดหวัง ยังเขวี้ยงส้มตกพื้น แล้วครั้งนี้จะยังมาขอส้มเพิ่มมากกว่าเดิมอีก ผู้ใหญ่จะเรียกเด็กอย่างนี้ว่า “เด็กเสียนิสัย“