คมการเมือง : วัดความพร้อม พรรคการเมือง เลือกตั้ง พ.ค.

View icon 91
วันที่ 11 ก.พ. 2566 | 13.03 น.
สายตรงวงใน
แชร์
สายตรงวงใน - สัปดาห์ที่แล้วเราพูดถึงกรอบเวลาเลือกตั้งกันไปว่า จะอยู่ในเดือนพฤษภาคมแน่ ๆ เรียกว่าเดือนนี้เป็นเดือนเลือกตั้งกันละ เพราะไม่ว่ารัฐบาลจะอยู่ครบวาระหรือยุบสภา

วงรอบของการเลือกตั้งก็น่าจะตกในช่วงต้นเดือนพฤษภาคมโดยยึดจากที่ กกต.เคยกางไทม์ไลน์ไว้ว่า ถ้ารัฐบาลอยู่ครบวาระ การเลือกตั้งจะเกิดขึ้นวันที่ 7 พฤษภาคม ปีนี้

และหลังจากที่กฎหมายลูกสองฉบับมีผลบังคับใช้ กกต.ก็ออกมาบอกอีกครั้งว่า ยังต้องใช้เวลาอีกประมาณ 45 วัน จึงจะพร้อมสุด ๆ สำหรับการเลือกตั้ง ซึ่งก็จะลงล็อกว่า การยุบสภาควรจะเกิดขึ้นหลังจากวันที่ 14 มีนาคมไปแล้ว หรือก่อนที่จะครบวาระแค่ 8 วันเท่านั้น

จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ กกต.เองก็ออกมา ชี้แจงไทม์ไลน์เลือกตั้งล่าสุดไว้ว่า จะยุบสภาหรือครบวาระ การเตรียมการเลือกตั้งของ กกต.ก็มีความใกล้เคียงกัน

และที่ชัดเจนมาก ๆ ก็คือ คำพูดของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่หลุดปากออกมาว่า พฤษภาคม คือเดือนแห่งการเลือกตั้ง

ทั้งนี้การเลือกตั้งพฤษภาคม ใครพร้อมที่สุด ตอนนี้ก็ดูเหมือนทุกพรรคประสานเสียงพร้อมหมด ไม่ว่าจะเป็นพลเอกประยุทธ์ จากรวมไทยสร้างชาติ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ จากพลังประชารัฐ คุณอุ๊งอิ๊ง แพทองธาร จากเพื่อไทย คุณอนุทิน ชาญวีรกูล ภูมิใจไทย และคุณจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ จากประชาธิปัตย์

มีคำถามว่าพรรคการเมืองไหนพร้อมที่สุด ตอนนี้ก็ต้องบอกว่าน่าจะเป็นพรรคภูมิใจไทย

เพราะมี สส.ลาออกจากพรรคเดิมย้ายไปซบ 40 กว่าคน บวกกับจำนวน สส.ที่มีอยู่ในมือตอนนี้ 65 คน ก็ปาเข้าไปเกือบ 100 คนแล้ว จึงเป็นเหตุผลที่แกนนำมั่นอก มั่นใจมาก ว่า จะกวาดที่นั่ง สส. ในการเลือกตั้งครั้งหน้าได้ตามเป้าที่วางไว้ 125 ที่นั่ง ที่สำคัญวาดฝันปักธงใน กทม. ที่ไม่เคยได้มาก่อนด้วย

และนี่คือความแตกต่างอย่างแรกที่เกิดขึ้นในการเลือกตั้งครั้งนี้ เมื่อเทียบกับการเลือกตั้งในปี 2562 ซึ่งพรรคภูมิใจไทย วางตัวเองเป็นพรรคขนาดกลาง

อีกหนึ่งความแตกต่างคือ ในการเลือกตั้งครั้งนี้พรรคเพื่อไทย ไม่ได้มียุทธศาสตร์แตกแบงก์พันเป็นแบงก์ร้อย เหมือนคราวที่แล้ว ซึ่งมีการตั้งพรรคไทยรักษาชาติ เพิ่มมาอีกพรรค แต่ไปต่อไม่ได้ สะดุดขาตัวเองจากการเล่นของสูง

สุดท้ายส้มเลยไปหล่นที่พรรคอนาคตใหม่ในขณะนั้น กวาดที่นั่งมาได้มากถึง 80 คน ซึ่งก็ต้องยอมรับความจริงว่า ราวครึ่งหนึ่ง เป็นสส.ที่ได้มาจากการที่ไทยรักษาชาติถูกยุบไป สถานการณ์ในขณะนั้น พรรคเพื่อไทย จึงตัวเล็กลง ขณะที่พรรคอนาคตใหม่ โตแบบก้าวกระโดด

ในการเลือกตั้งครั้งนี้พรรคเพื่อไทย ไม่มีการแตกแบงก์พันเป็นแบงก์ร้อย ก็เลยมั่นใจ แลนด์สไลด์ได้จริง ก็มีความหวังที่จะเป็นแกนนำรัฐบาลได้

ส่วนก้าวไกล ในความคิดส่วนตัว ยังเชื่อว่า น่าจะได้ สส.ลดลง และคราวนี้จะเป็นการพิสูจน์ฐานเสียงที่แท้จริงของก้าวไกลด้วยว่า มีมากน้อยแค่ไหนกันแน่

ขณะที่ขั้วรัฐบาลตอนนี้ก็เรียกว่าฐานเสียงแตกยับเลย มีทั้งพลังประชารัฐ รวมไทยสร้างชาติ ประชาธิปัตย์ สามพรรคนี้ต้องชิงมวลชนกันหนัก เพราะฐานเสียงเดียวกัน และที่ต้องจับตาหนัก ๆ คือ พื้นที่ภาคใต้ ซึ่งน่าจะเป็นสนามดุ ที่ช่วงชิงกันเข้มข้น

โดยในปัจจุบันจะมี 5 พรรคที่ต้องชิงดำกัน คือ ประชาธิปัตย์ รวมไทยสร้างชาติ พลังประชารัฐ ภูมิใจไทย และประชาชาติ แม้ว่าประชาธิปัตย์ จะเป็นแชมป์ ได้ สส. 22 ที่นั่ง จากทั้งหมด 50 ที่นั่ง ก็ไม่ได้หมายความว่าจะได้เปรียบ เพราะถือว่าได้ สส.ลดลงจากการเลือกตั้งปี 2554 อย่างมากเลย

จากเดิมเคยยึดหัวหาดได้ สส. ถึง 50 จาก 53 ที่นั่ง ก็ถูกอีกสามพรรคคือ พลังประชารัฐ ภูมิใจไทย และประชาชาติ แบ่งเค๊กที่เหลือไป

เลือกตั้งคราวนี้ยังมีโอกาสด้วยว่า ประชาธิปัตย์อาจได้สส.ลดลงจากเดิม เพราะเลือดไหลไปอยู่รวมไทยสร้างชาติ และรวมไทยสร้างชาติ ยังมีจุดแข็งที่พลเอกประยุทธ์ ซึ่งขายได้ในพื้นที่ภาคใต้ด้วย

ในขณะที่ประชาธิปัตย์ กระแสไม่แรง หัวหน้าพรรคยังไม่โดดเด่น

เรียกว่างานหนักจริง ๆ สำหรับประชาธิปัตย์ ในการเลือกตั้งครั้งหน้า กลายเป็นสงครามที่ยากจะคว้าชัยชนะ จึงไม่สามารถเสียที่มั่นในพื้นที่ภาคใต้ไปให้ใครได้ แล้วในส่วนของขั้วฝ่ายค้านมีสนามไหนที่แข่งกันดุบ้างมั้ย

อันนี้เรียกว่าดุจริง ดุจัง ถึงขนาดมีการเปรียบเทียบกันเลยทีเดียว ว่าเกิดตลาดวัว ตลาดควายกลางสภา มีการย้ายพรรคกันแบบยกแผง ครั้งเดียว 30 กว่าคน

ที่เอาบรรยากาศนี้มารีรันกันอีกรอบ ก็เพราะอยากจะชี้ให้เห็นเพิ่มเติมค่ะว่า การซื้อขาย ไม่ว่าจะตลาดไหนก็ตาม ล้วนมีค่าใช้จ่ายด้วยกันทั้งสิ้น

ส่วนตัวแล้วทำข่าวการเมืองมาเกือบ 30 ปี เห็นตั้งแต่ตัวเลข 5 ล้าน, 10 ล้าน, 15 ล้าน ไต่ระดับไปเรื่อย ๆ ตามวันเวลาที่เปลี่ยนไป

แต่ที่น่าตกใจคือการเลือกตั้งครั้งล่าสุด พูดกันถึงว่า ถ้าอยากได้เก้าอี้ สส. 1 ที่นั่ง ต้องใช้เงินมากถึง 50 ล้านบาท มี สส. หลายคนมาปรับทุกข์ด้วยว่าใช้เงินกันมากขนาดนี้ เที่ยวหน้าเขาคงสอบตก

สาเหตุที่สอบตก ไม่ใช่เพราะไม่มีเงินแข่ง แต่ไม่คิดจะแข่ง เนื่องจากขัดกับอุดมการณ์ และจุดยืนทางการเมืองของตัวเอง สุดท้ายจึงขอวัดใจที่ประชาชน

คราวนี้เรามาดูกันต่อค่ะ ถ้าตั้งตัวเลขบนสมมติฐาน ใช้เงิน 50 ล้านบาท จะได ้สส.1 เก้าอี้ หากตั้งเป้าหมายได้ สส. 100 คน เท่ากับต้องใช้เงินมากถึง 5,000 ล้านบาท

เห็นตัวเลขแล้วตกใจใช่มั้ยคะว่า ทำไมมันสูงมากขนาดนี้ จะเป็นไปได้หรือ พี่ก็เลยเอาตัวเลขมาลองตั้งให้ดู เงิน 5 พันล้านบาท ถ้าเราเทียบกับงบประมาณในแต่ละปีที่มีมากถึง 3.3 ล้านล้านบาท จะเห็นว่าเป็นเงินจำนวนน้อยนิดมาก ๆ

และยิ่งถ้าเราใช้ฐานการหักเปอร์เซ็นต์งบประมาณที่เกิดขึ้นในกรมอุทยานแห่งชาติฯ ที่มีการเปิดโปงกันออกมาว่า หักกัน 30% ก็จะเป็นเงินสูงถึง 990,000 ล้านบาท ถือเป็นเงินจำนวนที่มหาศาลเลยทีเดียว

ที่พูดมาทั้งหมดนี่เป็นสมมติฐาน ไม่ได้หมายความว่า จะเกิดการทุจริต ถอนทุนมโหฬารขนาดนี้ เพราะสุดท้ายแล้ว การจะยับยั้งไม่ให้เกิดการหว่านเงิน จนเกิดวงจรถอนทุนได้ ก็คือ พี่น้องประชาชนนี่แหละ

และอย่างที่เล่าให้ฟังไปนะคะว่า เลือกตั้งเที่ยวนี้ เงินสะพัด สาดกระสุนกันสนั่นจริง ๆ

ถึงขนาดคุณชวน หลีกภัย ประธานรัฐสภา ออกปากเลยว่า เลือกตั้งครั้งหน้า ธนกิจการเมืองกลับมา ใช้เงินหนักกว่าเดิม พร้อมกับฝากถึงประชาชน เลือกคนไม่โกงมาเป็นรัฐบาล

อีกไม่กี่เดือนอำนาจจะกลับมาอยู่ในมือประชาชน ตอนหยิบบัตรมากาเลือกใครก็ตาม อำนาจอยู่ในมือเรา แต่เมื่อหย่อนบัตรไปแล้ว อำนาจเปลี่ยนไปอยู่ในมือคนอื่น ช่อง 7HD ของเราจึงรณรงค์กันมาตั้งแต่ปีที่แล้วว่า หยุดขายเสียง จุดเปลี่ยนประเทศ จะเปลี่ยนประเทศให้กลับมารุ่งโรจน์ ให้งบประมาณไปถึงมือประชาชนอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยได้หรือไม่