เช้านี้ที่หมอชิต - ผู้ปกครองร้องผู้ว่าฯชัยภูมิ เร่งสั่งย้ายครูพละหื่นออกนอกพื้นที่ หลังหลอกนักเรียนหญิง ม.2 ไปย่ำยีจนท้องไม่พอ ยังก่อเหตุลักษณะนี้ต่อเนื่อง มีเหยื่อนับสิบราย ล่าสุด ครูพละยังให้พรรคพวกที่มีอิทธิพลในพื้นที่ ตามล่าหาตัวคนออกมาแฉเรื่องนี้ สร้างความหวาดกลัวให้ชาวบ้านอย่างมาก
ผู้ปกครอง แฉพฤติกรรมครูพละ หลอกย่ำยีลูกศิษย์จนท้อง จ.ชัยภูมิ
มีผู้ปกครองร้องเรียนกับผู้สื่อข่าวให้ช่วยตรวจสอบพฤติกรรมครูพละชายของโรงเรียนแห่งหนึ่ง บนเทือกเขาภูแลนคา ตำบลวังชมภู อำเภอหนองบัวแดง จังหวัดชัยภูมิ มีพฤติกรรมหลอกลวงลูกศิษย์ไปล่วงละเมิดทางเพศและอนาจาร ทั้งที่ครูรายนี้แต่งงานและมีลูกแล้ว
โดยเหยื่อรายแรก เป็นนักเรียนหญิง ชั้น ม.2 ถูกหลอกมีเพศสัมพันธ์จนตั้งครรภ์ พอผู้ปกครองจับได้ ครูจ่ายเงินปิดปาก 50,000 บาท แต่ไม่รับเป็นพ่อ สร้างความอับอายให้เหยื่ออย่างมาก จนผู้ปกครองต้องพาลูกหนีไปคลอดที่กรุงเทพฯ
จากนั้นครูคนดังกล่าว ยังไปก่อเหตุกับนักเรียนหญิง ซึ่งเป็นเพื่อนกับเหยื่อรายแรก แต่หนนี้ผู้ปกครองไม่ยอม เรียกค่าเสียหาย 100,000 บาท พร้อมบังคับครูมาสู่ขอแต่งงานที่บ้าน ก่อนพ่อแม่เด็กจะให้ลูกสาวแยกทางกับครูพละ และนำลูกสาวไปเรียนหนังสืออยู่ที่กรุงเทพฯ
ขณะที่ครูรายนี้ยังไม่หยุดพฤติกรรมล่อลวงนักเรียน จนมีเหยื่อเพิ่มอีกกว่า 10 ราย โดยครูจะออกอุบาย ชักชวนให้มาเป็นนักกีฬาฟุตบอลในชมรมฟุตบอลโรงเรียน หลอกว่าจะให้เงินพาไปซื้อรองเท้ากีฬาให้ บางรายก็ซื้อมือถือราคาแพงให้ รวมทั้งพาไปเที่ยวตามสถานบันเทิงในอำเภอใกล้เคียง ก่อนจะลงมือทำอนาจาร หากผู้ปกครองจับได้และโวยวาย ครูจะยอมรับผิด ยกมือไหว้ขอโทษ พร้อมยินยอมจ่ายค่าเสียหาย และรับปากจะขอย้ายตัวเองออกนอกพื้นที่ โดยทำบันทึกข้อตกลงไว้เป็นหลักฐาน แต่กลับไม่ทำตามสัญญา
สร้างความไม่พอใจให้ผู้ปกครองหลายราย ต่างกลัวว่าครูพละ จะมาก่อเหตุสร้างตราบาปกับลูกหลานเพิ่มอีก จึงเรียกร้องให้ นายโสภณ สุวรรณรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดชัยภูมิ เร่งตรวจสอบ และมีคำสั่งย้ายครูพละโดยด่วน มีรายงานว่า หลังตกเป็นข่าว ครูพละไม่พอใจมาก ให้ผู้มีอิทธิพลในพื้นออกตามล่าหาตัวคนให้ข้อมูลต่อสื่อ
สั่งย้ายครูพละด่วน พร้อมตั้งกรรมการสอบ จ.ชัยภูมิ
ล่าสุด ผู้ว่าราชการจังหวัดชัยภูมิ สั่งสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาชัยภูมิ เขต 1 ตรวจสอบด่วน ก่อนมีคำสั่งให้ครูพละออกนอกพื้นที่ไปช่วยราชการที่โรงเรียนอีกแห่ง ที่อำเภอบ้านเขว้า ตั้งแต่สัปดาห์หน้าเป็นต้นไป จนกว่าจะสอบสวนทางวินัยเสร็จสิ้น หากพบกระทำผิดจริง มีโทษถึงขั้นปลดออก หรือไล่ออกจากข้าราชการ