เจ้าหน้าที่ตั้ง 4 ข้อหาเจ้าของร้านคาราโอเกะ หลังถูกเอ็นจีโอร้องเรียนว่า เปิดเพลงเสียงดังก่อความรำคาญ แถมเปิดให้มีการค้าประเวณีภายในร้านอีกด้วย
เมื่อคืนที่ผ่านมา 24 พ.ค.67 ฝ่ายปกครองและตำรวจที่นำโดยนายกองรบ กระทุ่มนัด ป้องกันจังหวัดเชียงราย วางแผนตรวจสอบและจับกุมร้านคาราโอเกะแห่งหนึ่ง หลังจากได้รับการร้องเรียนจากองค์กรภาคเอกชนด้านการต่อต้านการค้ามนุษย์ว่า มีร้านคาราโอเกะในพื้นที่อำเภอเทิง เปิดเพลงเสียงดัง มีหญิงบริการทั้งชาวไทยและชาวลาวปรนนิบัติลูกค้า เปิดให้บริการจนถึงเช้าหรือจนกว่าลูกค้าจะกลับ และมีการแอบแฝงการค้าประเวณีในบริเวณที่พักของร้าน
เจ้าหน้าที่จึงส่งสายเข้าตรวจสอบและรวบรวมหลักฐาน จนพบว่าที่ร้านคาราโอเกะแห่งหนึ่ง ตำบลเวียง อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย มีลักษณะเปิดให้บริการเป็นร้านคาราโอเกะ มีห้อง VIP อยู่ 5 ห้อง มีโต๊ะไว้บริการบริเวณโถงกลางร้าน และมีห้องพักไว้ริการลูกค้า 4 ห้อง พฤติการณ์โดยรวมเป็นไปตามที่มีการร้องเรียนจริง เจ้าหน้าที่รอจนถึงเวลา 01.00 น. วันที่ 24พค67 จึงจู่โจมเข้าตรวจสอบในขณะที่ร้านยังเปิดให้บริการอยู่
ตรวจสอบที่ห้องคาราโอเกะมีผู้ใช้บริการและพนักงานนั่งกับลูกค้า ตรวจสอบบริเวณห้องพัก พบพนักงานหญิงของร้านอยู่กับลูกค้าชาย 2 ห้อง แต่ละห้องพบถุงยางอนามัยที่ใช้แล้วและยังไม่ได้ใช้เป็นจำนวนมาก จากการสอบถามพบว่ามีหญิงแสดงตนเป็นเจ้าของร้าน เจ้าหน้าที่จึงให้หญิงคนดังกล่าวนำตรวจสอบอย่างละเอียด จนทราบว่ามีพนักงานหญิงคอยบริการลูกค้าจำนวน 5 คน เป็นชาวไทย 1 คน ที่เหลืออีก 4 คนเป็นชาวลาว ตรวจสอบพื้นที่บริเวณร้านรวมถึงห้องพักพนักงาน พบถุงยางอนามัยและสารหล่อลื่นเป็นจำนวนมาก เจ้าหน้าที่จึงนำตัวเจ้าของร้านพร้อมหญิงบริการทั้งหมดไปทำบันทึกการจับกุม ณ ที่ว่าการอำเภอเทิง
ทั้งนี้เจ้าหน้าที่แจ้งข้อหากับเจ้าของร้านในเบื้องต้นจำนวน 4 ข้อหาคือ (1)ตั้งสถานบริการโดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียน ตาม พ.ร.บ.สถานบริการ พ.ศ.2509 (2)เป็นผู้ดูแล หรือผู้จัดการการค้าประเวณีหรือสถานค้าประเวณี ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ.2539 (3)ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในเวลาที่รัฐมนตรีประการกำหนดห้ามขาย ตาม พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 (4)เป็นผู้รับคนต่างด้าวเข้าทำงานโดยไม่มีใบอนุญาตทำงานกับตน ตาม พ.ร.บ.การทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ.2551
ขณะที่ในส่วนหญิงบริการทั้ง 5 คนนั้น เจ้าหน้าที่ได้มอบหมายให้ให้พนักงานสอบสวนประสานสหวิชาชีพ ทำการสอบปากคำคัดแยกเหยื่อ ว่าเป็นผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์หรือไม่ต่อไป