หมอเจดยกเคสอุทาหรณ์ หนุ่มวัย 40 ปี ไลฟ์สไตล์ทำงานหนัก 7 วันต่อสัปดาห์ คิดว่าเป็นริดสีดวงทวาร ไม่มีเวลาไปหาหมอจึงหาซื้อยามากินเอง สุดท้ายเป็นมะเร็งลําไส้กระจายไปตับ
วันนี้ (1 ก.ค.67) นพ.เจษฎ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลมหาราช นครราชสีมา ให้ความรู้ด้านสุขภาพผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว โดยหมอเจดยกเคสผู้ป่วยชาย อายุเพียง 40 ปี คิดว่าตนเองป่วยเป็นริดสีดวง เพราะถ่ายเป็นเลือด ไม่มีประวัติว่าปวดท้อง หรือท้องผูกสลับท้องเสียมาก่อน และไม่มีประวัติคนในครอบครัวที่เป็นมะเร็งลําไส้ โดยผู้ป่วยให้ประวัติว่า มีไลฟ์สไตล์ทํางานหนัก 7 วันต่อสัปดาห์ และใช้ชีวิตแบบนี้มาโดยตลอด
ต่อมาผู้ป่วยเริ่มสังเกตเห็นว่าตนเองถ่ายเป็นเลือด จึงไปซื้อยาตามร้านขายยามาเหน็บ และหาซื้อยาตามโฆษณามากิน เพราะยังคิดว่าตนเองเป็นริดสีดวงทวาร และด้วยความที่ทำงานหนัก จึงไม่มีเวลาว่างไปตรวจกับหมอ ซึ่งจริง ๆ แล้วอาการก็ดีขึ้นบ้าง สลับกันไป เพราะไม่มีเลือดออกและไม่มีอาการปวด
หมอเจด ระบุด้วยว่า แต่หลังจากที่เป็นอยู่นาน 6 เดือน ผู้ป่วยพบว่านํ้าหนักตัวลดลง มีอาการปวดตามเนื้อตามตัวมากขึ้น ไปไหนก็มีคนทักว่าผอมลงมาก ซึ่งนํ้าหนักลงไปประมาณ 10 กก. ในระยะเวลาแค่ 3 เดือน ผู้ป่วยจึงคิดว่าอาการแบบนี้ผิดปกติ เลยรีบตัดสินใจไปตรวจพบว่าเป็นมะเร็งลำไส้
“จากนั้นแพทย์ได้เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ต่อ เพื่อดูว่าเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ระยะไหน จึงพบว่ามีการกระจายของมะเร็งไปที่ตับ การรักษาก็ยากมากขึ้นเรื่อย ๆ หมอเจดจึงอยากฝากเคสนี้ว่า การที่เราถ่ายเป็นเลือด และอายุมากกว่า 40 ปี อย่าคิดแค่ว่าตนเองเป็นแค่ริดสีดวงทวาร เพราะเราอาจเป็นโรคที่อันตรายกว่านั้นได้ เช่น มะเร็งลำไส้ใหญ่ หรืออาจเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ร่วมกับริดสีดวงทวารหนัก”
ทั้งนี้ ลักษณะการขับถ่ายของมะเร็งลำไส้ อุจาระมักจะเล็กลงเพราะมีก่อนมะเร็งอุดตันอยู่ เลือดมีสีคล้ำหรือมีมูกเลือด ไม่มีอาการปวดไม่ค่อยมียกเว้นเวลาปวดเบ่ง เนื่องจากมะเร็งกินกล้ามเนื้อหูรูด นอกจากนี้ คนป่วยเป็นมะเร็งลำไส้จะเบื่ออาหาร กินข้าวได้น้อยลง ซีด เหนื่อยง่าย
โพสต์นี้ของหมอเจด มีผู้ป่วย มะเร็งลำไส้ใหญ่ระยะ1 ได้เข้ามาคอมเมนต์เล่าประสบการณ์ เพื่อให้สังเกตอาการผิดปกติตนเองโดยเฉพาะอาการท้องผูกสลับกับท้องเสีย พบแพทย์เร็ว สามารถรักษาหายได้ โดยมะเร็งไม่ลุกลามไปอวัยวะอื่น ๆ ไม่ต้องรับการฉายแสงและเคมีบำบัด
