เช้านี้ที่หมอชิต - "นุ" และ "สา" คนสนิทของ "ทนายตั้ม" ที่มีส่วนพัวพันกับเงิน 39 ล้านบาท จากเหตุที่ไปหลอกว่า มีมิจฉาชีพหลอกให้โอนเงินบิตคอยน์ ทั้ง 2 คน ถูกจับกุมตัวแล้ว ยืนยันให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา
รวบแล้ว นุ-สา คนสนิท ทนายตั้ม
สรุปแล้วก็เป็นไปตามคาดการณ์จริง ๆ ว่าทั้ง นายนุวัฒน์ หรือ "นุ" และ นางสาวสาริณี หรือ "สา" แฟนสาวของ "นุ" คนสนิทของ "ทนายตั้ม" ไม่ได้หนีไปที่ไหน อยู่วนเวียนในพื้นที่กรุงเทพมหานคร พอตำรวจไปขอศาลฯ ออกหมายจับเรียบร้อย ก็ตามไปจับกุมทั้ง 2 คน ได้ที่บ้านพักย่านวังทองหลาง
หลักฐานสำคัญที่นำไปสู่การออกหมายจับ คือ เรื่องที่ทั้ง 2 คน ไปถอนเงินสด 39 ล้านบาท ที่ "มาดามอ้อย" โอนเข้าบัญชี จากธนาคารในห้างสรรพสินค้า ย่านลาดพร้าว
รวมถึงปั้นแต่งพยานหลักฐาน ด้วยการเข้าแจ้งความ ลงบันทึกประจำวัน อ้างว่าถูกดูดเงินจากบัญชีบิตคอยน์ เพื่อใช้เป็นหลักฐานตบตาหลอก "มาดามอ้อย" ให้หลงเชื่อว่า ได้ติดต่อหา "เฉินคุณ" นักร้องชาวจีนชื่อดัง แต่เสียท่ามิจฉาชีพ
ซึ่งก่อนที่ตำรวจจะเข้าจับกุมทั้ง 2 คน 1 วัน ผู้สื่อข่าวก็เพิ่งลงพื้นที่ไปที่บ้านของทั้ง 2 คน ที่ย่านรามคำแหง แต่บ้านปิดเงียบ ไม่มีคนอยู่ ห่างจากบ้านออกไปพบรถของทั้ง 2 คน คันสีฟ้า ฝุ่นเกาะหนา เช่นเดียวกับรถเบนซ์ที่จอดอยู่ในบ้าน เหมือนต้องการจะแสดงให้เห็นว่าได้ออกไปอยู่ที่อื่นแล้ว แต่จริง ๆ แล้วคือแอบซ่อนตัวอยู่ในบ้าน
ส่วนเรื่องความคืบหน้าการสอบสวนดำเนินคดี ผู้บังคับการปราบปราม เผยว่า คดีนี้ศาลฯ ออกหมายจับผู้ต้องหาทั้ง 2 คน ในความผิด 3 ข้อหา คือ ร่วมกันฉ้อโกง, ร่วมกันนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จสู่ระบบคอมพิวเตอร์ และร่วมกันฟอกเงิน ก่อนจะไปจับกุมทั้ง 2 คน มาสอบสวน เบื้องต้น ผู้ต้องหาปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา แต่ก็ยังไม่มีหลักฐานที่น่าเชื่อถือมาแสดงกับเจ้าหน้าที่
ส่วนพฤติการณ์กระทำความผิด ตำรวจยังไม่ขอเปิดเผยเพราะอยู่ในสำนวน แต่บอกได้แค่เป็นไปตามที่ปรากฏเป็นข่าวก่อนหน้านี้ และเส้นทางการเงิน 39 ล้านบาท จะเชื่อมโยงไปถึงบุคคลใด ยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบ
นุ เคยจ้าง ทนายตั้ม ช่วยคดีความ
ขณะที่ความสัมพันธ์ระหว่าง "นุ" และ "ทนายตั้ม" ผู้กำกับการ 3 กองปราบฯ ระบุว่าเริ่มต้น จาก "นุ" ซึ่งรักชอบการเทรดบิตคอยน์ และใช้ความรู้ในทางที่ผิดด้วยการไปเปิดเว็บฯ ภาพยนตร์เถื่อน แล้วถูกจับกุม จากนั้นก็เริ่มค้นหาทนายความทางโซเชียลฯ จนมาเจอ "ทนายตั้ม" จึงรู้จักกันมาตั้งแต่นั้น เพราะ ว่าจ้างให้ทนายตั้มทำคดีให้
นายนุ เคยอยู่ที่เยอรมันตั้งแต่เด็ก เพราะมีแม่แต่งงานกับคนเยอรมัน จึงมีความรู้เรื่องคอมพิวเตอร์และไอที ตั้งแต่ระดับ ปวส. หลังเรียนจบก็ทำงานที่เยอรมันนานถึง 2 ปี และด้วยความชื่นชอบด้านสกุลเงินดิจิทัล ก่อนกลับมาอยู่ประเทศไทย ช่วงกลับมาก็เปิดเว็บไซต์ให้บริการดูภาพยนตร์ต่างประเทศฟรี จนถูกเจ้าของลิขสิทธิ์ภาพยนต์ต่างประเทศฟ้องเมื่อหลายปีก่อน หลังถูกฟ้อง จึงหาทนายช่วยคดีความ จนพบกับนายษิทราที่รับทำคดี ว่าความให้
นอกจากนี้ ในการจับกุมนุและสา ตำรวจก็ยังอายัดรถ 2 คันที่เชื่อว่าได้มาจากการกระทำผิด ประกอบด้วยรถเบนซ์ สีขาว ทะเบียน 999 กรุงเทพฯ และรถเฟอร์รารี่ สีฟ้า ทะเบียน 999 กรุงเทพฯ
แต่เป็นที่สังเกตว่า ทะเบียนรถของนุและสาที่ถูกยึด มีทะเบียนตรงกับรถของทนายตั้ม ในวันที่ถูกจับกุมตัว คือ 999 กรุงเทพฯ เช่นกัน
ทนายเผย ษิทรา สบายใจ-ฝากประกันตัวเมียก่อน
ด้าน "ทนายสายหยุด" ที่ไปเยี่ยม "ทนายตั้ม" ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ยืนยันตามคำพูดเดิมว่า ไปเพื่อดูความเป็นอยู่ของทนายตั้ม ยังไม่ได้พูดคุยกันเรื่องคดีความ และถ่ายทอดข้อความจากภรรยาของทนายตั้มให้เจ้าตัวฟัง ก็ทำให้ทนายตั้มมีสีหน้าที่ดีขึ้น กำลังใจดี และสามารถปรับตัวอยู่ในเรือนจำได้บ้างแล้ว ซึ่งจริง ๆ ทนายตั้มก็ยังเจอกับเหล่าบอสดิไอคอน ตอนกินข้าวก็มีการพูดคุยกัน ไม่มีปัญหา เพราะสถานะเดียวกัน
ส่วนความคืบหน้าคดีความปมเงิน 71 ล้านบาท ทนายสายหยุดยืนยันว่า มีพยานจริงแต่ยังไม่ขอพูด ซึ่งเป็นพยานที่รู้เห็นตอนที่เขาคุยกัน แต่จะมีน้ำหนักมากน้อยแค่ไหน ต้องให้ศาลพิจารณาอีกครั้ง พร้อมระบุด้วยว่า ทนายตั้มบอกว่า มาดามอ้อยเคยให้เงินคนไทยคนอื่น 1 ล้านยูโร ต่อหน้าทนายตั้ม ซึ่งตนคิดว่าจะเอามาสอบด้วย แต่ไม่รู้ว่าจะมาหรือไม่ ซึ่งทนายตั้มบอกว่า ตัวเขาขอ 2 ล้านบาท ไม่ได้เยอะ ก็เขาให้ผมมา แล้วผมโกงเขาเหรอ ยืนยันว่าไม่ได้ไปหลอกเขา เขาให้ตอนที่ยังดีกันอยู่ แล้วพอเลิกกันเขาก็มาขอเอาคืน
ทนายคุยกับทนายตั้ม บอกพูดคุยทั่วไปและคุยเรื่องคดี ถามว่าที่เรือนจำมีปัญหาไหม แต่ทนายตั้มบอกว่า อยู่สบาย มีแต่คนแย่งกันดูแล ไม่มีปัญหาอะไร และทนายตั้มยังบอกว่าได้เจอพวกบอส ๆ ตอนกินข้าว แต่ไม่มีปัญหาอะไรกัน ก็คุยกัน เพราะสถานะเดียวกันแล้ว ทนายตั้มยังบอกด้วยว่า ถ้าเป็นไปได้ให้รวบรวมหลักฐานประกันตัวภรรยาออกมาก่อน แต่ตัวเขายังไม่ต้องประกันจนกว่าอัยการจะฟ้อง
ทนายสายหยุด จ่อถอนตัวหาก ษิทรา เอี่ยวปมเงิน 39 ล้านบาท
ส่วนเรื่องที่ตำรวจ จับกุม "นุ" และ "สา" ทนายสายหยุด บอกว่า จะขอรอดูข้อเท็จจริง ทางคดีก่อนว่า เกี่ยวข้องกับทนายตั้มหรือไม่ หากวิเคราะห์เบื้องต้นได้ว่าทนายตั้มไม่เกี่ยว และปฏิเสธ ก็จะทำคดีต่อ แต่หากพยานหลักฐานชัดเจนว่าเกี่ยวข้องแน่นอน ไปไม่รอด ก็คงไม่ทำคดีต่อ จะไม่ขอพิพากษาทนายตั้มไปก่อน เหมือนที่สังคมกำลังพิพากษาอยู่ในขณะนี้
ด้าน นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม กล่าวถึงการจับกุมนุกับสา ว่า ตัวละครไม่ได้มีแค่นี้ เชื่อว่ายังมีเฟส 3 อีก เพราะยังมีคนรับจ้างที่มาขนกระเป๋า ซึ่งไม่รู้ว่าเป็นตำรวจหรือทหาร แต่มีลักษณะหัวเกรียน และยังมีเครือญาติของทนายตั้มอีกที่ต้องโดนข้อหาฟอกเงิน
นายอัจฉริยะยังแนะนำให้ทนายสายหยุดเลิกทำคดีความให้กับทนายตั้ม และให้ ทนายเดชา กิตติวิทยานันท์ ประธานเครือข่ายทนายคลายทุกข์ไปทำเอง เพราะทนายเดชากับ ทนายรัชพล ศิริสาคร รู้ทุกเรื่อง ทนายสายหยุดเป็นคนดีเกินไป และเป็นคนตรงเกินไป
ด้านเพจฯ "ออยศรีและผองเผือก" ก็โพสต์เฟซบุ๊ก พูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างผู้ต้องหาในคดีนี้ทั้งหมด กับทนายสายหยุด พร้อมภาพถ่ายยืนยันว่าเคยไปเที่ยวด้วยกันเมื่อปี 2565
นอกจากนี้ ยังโพสต์ถึงเรื่องที่เตรียมจะฟ้องกลับเรื่องที่มีการฟ้องเท็จ เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2567 หลังตำรวจ อัยการ ไม่สั่งฟ้อง และศาลไม่รับฟ้อง ซึ่งคดีนี้มีอัตราโทษจำคุก 5 ปี