ประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ และ วลาดิเมียร์ ปูติน แห่งรัสเซีย ต่างแย่งชิงความได้เปรียบ ในช่วงก่อนที่ โดนัลด์ ทรัมป์ จะเข้ามารับตำแหน่งผู้นำโลกเสรีคนใหม่
รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโจ ไบเดน จะส่งมอบกับระเบิดสังหารบุคคลให้กับยูเครน เพื่อช่วยชะลอการรุกคืบในสมรภูมิรบของรัสเซีย ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ครั้งที่สองในการสนับสนุนยูเครน หลังจากเพิ่งไฟเขียวให้ใช้ขีปนาวุธพิสัยไกลของสหรัฐฯ ตอบโต้รัสเซียได้ ขณะที่ รัสเซียยังคงโจมตียูเครนต่อเนื่อง และเพิ่งลดข้อกำหนดในการใช้อาวุธนิวเคลียร์ของตน อีกทั้งกักตุนจรวดและขีปนาวุธเพิ่มขึ้น จนทำให้ชาติตะวันตกหลายประเทศปิดสถานทูตในกรุงเคียฟ เพราะความกังวลว่าจะถูกรัสเซียโจมตี
คาดว่าเป็นเพราะประธานาธิบดีโจ ไบเดน แห่งสหรัฐฯ และประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน แห่งรัสเซียต่างพยายามแย่งชิงความได้เปรียบ ในช่วงก่อนที่ โดนัลด์ ทรัมป์ จะเข้ามารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัยที่ 2 ในปีหน้า ซึ่งประกาศว่าสงครามรัสเซีย-ยูเครนจะจบลงในวันเดียว แต่ไม่ได้ให้รายละเอียด ซึ่งคาดว่าจะต้องจบลงด้วยการเจรจา ทั้งสองฝ่ายจึงต้องแย่งชิงความได้เปรียบในช่วงนี้ให้มากที่สุด ขณะที่หลายชาติจับตามอง กลัวสถานการณ์บานปลายสู่สงครามโลกครั้งที่ 3
ขณะเดียวกันสหรัฐฯ วีโตหรือคัดค้านมติคณะมนตรีความมั่นคงของสหประชาชาติ เรื่องการหยุดยิงโดยทันที ไม่มีเงื่อนไข และถาวร ในฉนวนกาซา โดยสหรัฐฯ อ้างว่า มติดังกล่าวไม่มีการกล่าวประณามกลุ่มฮามาสที่บุกเข้าไปสังหารหมู่ และจับกุมตัวประกันในอิสราเอลเมื่อวันที่ 7 ตุลาคมปี 2566 และยังไม่ระบุถึงการปล่อยตัวประกันที่ยังเหลืออยู่อีกนับร้อยคน มติดังกล่าวจึงไม่ช่วยให้เกิดการหยุดยิงอย่างถาวรได้