รอง ผบช.น. เผย คดีตำรวจ 7 นาย รุมทำร้ายผิดคัน เรื่องนี้ตรวจสอบแล้วเกิดขึ้นเพราะตำรวจไม่ดูทะเบียน ก่อนไล่ล่า

รอง ผบช.น. เผย คดีตำรวจ 7 นาย รุมทำร้ายผิดคัน เรื่องนี้ตรวจสอบแล้วเกิดขึ้นเพราะตำรวจไม่ดูทะเบียน ก่อนไล่ล่า

View icon 1.3K
วันที่ 5 ธ.ค. 2567 | 17.06 น.
ข่าวออนไลน์7HD
แชร์
รอง ผบช.น. เผย คดีตำรวจ 7 นาย รุมทำร้ายผิดคัน เรื่องนี้ตรวจสอบแล้วเกิดขึ้นเพราะจังหวะเกิดเหตุมีรถมาสด้าแดง 5 ประตู 2 คัน เข้ามาที่ด่านในเวลาไล่เลี่ยกัน คันแรกของผู้เสียหาย และคันที่ 2 คือคันที่แหกด่านตรวจ แต่ตำรวจไม่ดูทะเบียน ก่อนไล่ล่า และจากตรวจสอบ ตำรวจ 3 นาย มีกล้องติดหน้าอก ส่วนอีก 4 นาย อยู่นอกเครื่องแบบ ไม่มีกล้องติดหน้าอก

5 ธันวาคม 2567 เวลา 16.00 น. พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. เผยถึงกรณีพ่อ และน้องสาว ของผู้บาดเจ็บ ที่ถูกกลุ่มตำรวจจราจรกลาง 7 นาย รุมทำร้ายร่างกายจนมีเลือดคั่งในสมอง ก่อนจะเผยว่าทำร้ายผิดตัว เข้าใจผิดว่าเป็นรถคันที่ขับฝ่าด่านตรวจ ซึ่งเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อเวลาประมาณ 02.00 น.4 ธ.ค. 2567 โดยพ่อ และน้องสาว ของผู้บาดเจ็บ ได้เข้าแจ้งความดำเนินคดีกับตำรวจทั้ง 7 นาย ที่ สน.บางเขน พร้อมทั้งยื่นหนังสือร้องทุกข์ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล

พล.ต.ต.นพศิลป์ เผยว่า จากเหตุการณ์นี้ตำรวจยอมรับในความเป็นจริงที่เกิดขึ้น และจะไม่มีการช่วยเหลือผู้กระทำผิด สำหรับผู้บาดเจ็บทางแพทย์ยังไม่อนุญาตให้สอบปากคำ เพราะยังอยู่ในห้องไอซียู ส่วนตำรวจ 7 นาย วันนี้ได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงของกองบัญชาการตำรวจจราจร เบื้อนต้น มีมูล ตำรวจนครบาล จึงตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง

ด่านดังกล่าวเป็นด่านของ บก.จร.ที่ตั้งขึ้น เพื่อกวดขันวินัยจราจร และตรวจแอลกอฮอล์ วันเกิดเหตุคือ วันที่ 3 ธันวาคม ช่วงเวลาประมาณ 23.00 น.-04.00 น.ของวันที่ 4 ธันวาคม ห้วงที่เกิดเหตุเวลา 01.30 น. 4 ธันวาคม นายธนานพ อายุ 33 ปี ผู้บาดเจ็บ ได้ขับรถมาสด้า สีแดง 5 ประตู เข้ามาที่ด่านตรวจ ปรากฎว่าตำรวจได้เรียกตรวจ พบว่า รถไม่ติดแผ่นป้ายภาษี จึงเรียกไปตักเตือนแล้วก็ปล่อยตัวไป จังหวะนั้นไม่เกิน 2 นาที มีรถมาสด้าสีแดง 5 ประตู อีกคัน (คนละทะเบียนกับ นายธนานพ ผู้บาดเจ็บ) เข้ามาที่ด่าน ตำรวจที่ด่านมีการเรียกตรวจแอลกอฮอล์คันนี้ เบื้องต้นเป็น positive จึงเรียกรถคันนี้เข้าด้านข้าง เพื่อทำการตรวจอย่างละเอียด ปรากฏว่ารถคันดังกล่าว ขับแหกด่านหลบหนีไป

จังหวะนั้นมีการตะโกนในด่านตรวจว่า "มีรถมาสด้าแดงแหกด่าน" มีตำรวจนอกเครื่องแบบ 4 นาย แต่งกายชุดครึ่งท่อน ซึ่งออกเวรแล้ว จากการทำหน้าที่เป็นพนักงานเก็บค่าปรับ ขี่รถจักรยานยนต์ไล่ตามออกจากจุดตรวจไป อีก 3 คน อยู่ในเครื่องแบบ ใช้รถยนต์ของ บก.จร.ติดตามไป ประมาณ 4 กิโลเมตรถึงจุดเกิดเหตุ ปรากฎว่า ไปเจอรถมาสด้าแดง 5 ประตู ซึ่งเป็นรถของนายธนานพ ผู้เสียหาย ชะลออยู่ด้านซ้าย ตำรวจจราจรนอกเครื่องแบบทั้ง 4 นาย ที่ขี่รถจักรยานยนต์อยู่ จึงขับไปประกบ แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นก็เป็นไปตามคำบอกเล่าของญาติผู้เสียหาย คือ ตำรวจเข้าไป เพื่อพยายามทำการจับกุม แต่ นายธนานพ ผู้เสียหาย ซึ่งไม่ได้ทำผิดอะไร จึงมีการต่อสู้เกิดขึ้น จึงกลายเป็นปัญหาประเด็นที่ว่ามีการรุมทำร้ายร่างกาย ข้อเท็จจริงนี้มีการตรวจสอบแล้ว และไล่กล้องวงจรปิด เก็บทุกอย่าง เพื่อนำส่งให้พนักงานสอบสวนในคดี

ส่วนเรื่องกล้องติดหน้าอกของตำรวจนั้น ตรวจสอบเบื้องต้น เจ้าหน้าที่ตำรวจ 4 นาย นอกเครื่องแบบ ไม่มีกล้องติดหน้าอก แต่ตำรวจในเครื่องแบบ 3 คน มีกล้องติดหน้าอก จึงสั่งการให้ทางผู้การจราจร นำพยานหลักฐานกล้องติดหน้าอก ส่งมอบให้พนักงานสอบสวน ภายในเวลา 5 โมงเย็นวันนี้ และจะนำตัวตำรวจทั้ง 7 นาย ไปมอบตัวกับพนักงานสอบสวน สน.บางเขนด้วย

พล.ต.ต.นพศิลป์ กล่าวอีกว่า ณ วันนี้สิ่งที่เกิดขึ้น ขอยืนยันว่า มันไม่น่าจะเกิด การที่บอกว่า มีการไปจับกุมแล้วผิดคัน เริ่มต้นจากการที่ชุดตำรวจนี้ ไม่ได้มีการตรวจสอบว่ารถคันที่ก่อเหตุจริงๆทะเบียนอะไร แค่ไปเจอทะเบียนรูปพรรณคล้ายกันก็เข้าใจว่าเป็นรถคันที่ก่อเหตุ ซึ่งพฤติการณ์ต่อให้เป็นรถคันที่แหกด่านจริงๆ พฤติกรรมของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ที่จะไปรุมทำร้าย ไม่ทำตามกฎหมาย ไม่ทำตาม ป.วิอาญาใดๆ ก็ไม่สมควรจะเกิดขึ้น

ความผิดดังกล่าว เบื้องต้น เข้าข่ายข้อหาร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่น ให้ได้รับอันตรายแก่กายและจิตใจ และรอผลการรักษาจากทางแพทย์ว่าระบุสาหัสหรือไม่ถ้าสาหัสก็จะแจ้งข้อหาเพิ่มเติม

"ต่อให้เคสอะไรก็แล้วแต่ จะถูกคันหรือไม่ถูกคันก็ตาม ตำรวจไม่มีสิทธิใดๆเลยที่จะก่อเหตุแบบนี้การจับกุมมี พรบ.มีกฎหมาย ป. วิอาญา ในการควบคุมตัวอยู่แล้ว"

ขณะเดียวกันรองผู้บัญชาการตำรวจนครบาลยังได้แสดงความเสียใจ และฝากไปถึงครอบครัวของผู้ได้รับบาดเจ็บว่า กองบัญชาการตำรวจนครบาลรวมทั้งผู้บังคับบัญชาทุกระดับชั้น เสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และพร้อมให้ความช่วยเหลือ ผู้เสียหายอย่างเต็มที่ เพิ่งทราบว่าผู้เสียหายก็เป็นลูกตำรวจเช่นเดียวกัน แต่ไม่ว่าจะเป็นลูกตำรวจหรือประชาชนคนธรรมดาก็ไม่ควรเกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้ขึ้น

ข่าวที่เกี่ยวข้อง