เกี่ยวกับประเด็นนี้ ดร.นงนุช จินดารัตนาภรณ์ นักวิจัยของสถาบันวิจัยประชาการและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ได้กล่าวถึงร่าง พ.ร.บ.ควบคุมการตลาดอาหารและเครื่องดื่มที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพเด็ก เนื่องจากสถานการณ์ปัญหาภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วนของเด็กไทย ณ ปัจจุบัน ซึ่งจากข้อมูลพบว่า ไทยเราอยู่ลำดับที่ 3 ในกลุ่มประเทศอาเซียน และสมาพันธ์โรคอ้วน (World Obesity Federation) ได้คาดการณ์ว่าในปี พ.ศ. 2573 เด็กไทยอายุต่ำกว่า 20 ปี จำนวน 1 ใน 2 คน หรือเกือบร้อยละ 50 จะมีภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วน

ขณะเดียวกันได้ทำการสำรวจเด็กทั่วประเทศไทยจำนวน 4,117 คน ที่มีอายุ 6 -18 ปี เกี่ยวกับพฤติกรรมการกินอาหารที่มีน้ำตาล เกลือ ไขมันสูง พบว่าเด็ก 9 ใน 10 คน กินขนมขบเคี้ยวและเครื่องดื่มรสหวาน ในขณะที่ 8 ใน 10 คนกินพวกอาหารกึ่งสำเร็จรูป และ 7 ใน10 คน ที่ชอบกินพวกขนมหวานที่เป็นพวกช็อกโกแลต ไอศกรีม เยลลี วุ้นซึ่งอาหารเหล่านี้ถ้าเด็กกินเข้าไป เสี่ยงแน่นอนต่อการให้ที่จะทำให้เด็กเกิดภาวะน้ำหนักเกินและโรคอ้วน ซึ่งกุมารแพทย์พบว่าเด็กที่เป็นโรคอ้วนมีอายุต่ำน้อยลงเรื่อย ๆ ตั้งแต่อายุ 6 ขวบ เริ่มพบเคสที่เป็นเบาหวานแล้ว ซึ่งเกิดจากพฤติกรรมการกินที่ไม่เหมาะสม เพราะเด็กพบเห็นอาหารเหล่านี้ที่โฆษณาโดยใช้คนดังเป็นผู้แสดงแบบ เด็กจะชอบอาหารเหล่านี้มากขึ้นประมาณ 23% แล้วอีก 22% มีแนวโน้มที่จะซื้ออาหารเหล่านี้ หรือว่าถ้าเป็นเด็กเล็ก ๆ ก็จะร้องขอให้พ่อแม่ซื้อ นี่คือสิ่งที่เราพบจากสถานการณ์ที่เขาบริโภค
นอกจากนี้ตั้งแต่ปี 2010 องค์การอนามัยโลก แนะนำว่าการที่จะควบคุมการตลาดอาหารกับเด็ก มีอยู่ 2 ปัจจัยสำคัญ คือ 1. ต้องควบคุมพฤติกรรมการพบเห็น คือ ลดการพบเห็นการตลาดของเด็กกให้ได้ก่อน 2. ลดอำนาจ หมายถึงลดเทคนิคต่าง ๆ ที่ใช้ทำการตลาด ถ้าลด 2 ตัวนี้ได้ ก็จะสามารถลดการชื่นชอบ การจดจำ กับการซื้อการบริโภค และอีก 8 ปีต่อมา ในปี 2018 องค์การสหประชาชาติ ยังยืนยันกับองค์การอนามัยโลกว่า ต้องให้มีการห้ามทำการตลาดอาหารกับเด็ก เพราะว่าเป็นหนึ่งในมาตรการที่จะช่วยลดโรคอ้วน แล้วก็โรคไม่ติดต่อเรื้อรังได้ด้วย พอมาถึงในปี 2023 องค์การอนามัยโลกได้ออกชุดข้อเสนอแนะมาตอกย้ำอีกว่า การควบคุมการตลาด ที่เขาเสนอก็ให้ควบคุมทั้งด้านการพบเห็นและควบคุมเทคนิคการตลาด ต้องทำให้เป็นกฎหมาย เพราะกลไกการการควบคุมตัวเองใช้ไม่ได้ผล ซึ่งมีการวิจัยในหลายประเทศ เช่น อังกฤษ และ ออสเตรเลีย
อย่างไรก็ตาม เพื่อการยุติปัญหาโรคอ้วนและโรคไม่ติดต่อเรื้อรังในเด็กไทย และผลกระทบด้านอื่นที่สืบเนื่องจากการที่เด็กถูกกระตุ้นจากการตลาดและโฆษณา สมาคมเครือข่ายโรคไม่ติดต่อไทย โดยการสนับสนุนจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับกรมอนามัยและภาคีสุขภาพจึงได้ยกร่าง พ.ร.บ.ควบคุมการตลาดอาหารและเครื่องดื่มที่มีผลกระทบต่อสุขภาพเด็ก โดยมีหลักฐานทางวิชาการชัดเจนว่าการใช้กฎหมายที่เข้มแข็งควบคุมการโฆษณาการตลาดอาหารฯ จะส่งผลดีต่อการแก้ปัญหาโรคอ้วนในเด็กอย่างชัดเจน เพราะเป็นการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการมีพฤติกรรมสุขภาพที่ดีของประชาชน โดยดำเนินการเป็นขั้นตอนมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2563ซึ่งมีการศึกษาวิจัย มีข้อมูลทางวิชาการและผู้สนับสนุนจำนวนมาก รวมทั้งได้ผ่านการประชาพิจารณ์รับฟังความเห็นของผู้มีส่วนได้เสียมาแล้ว เป้าหมายคือ ลดการพบเห็นกลยุทธ์การทำตลาดอาหารและเครื่องดื่มที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพ และเพื่อส่งเสริมให้เด็กมีสุขภาพดี ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคอ้วนและโรคโรคติดต่อในอนาคต ซึ่งมาตรการในกฎหมายใหม่นี้ไม่ซ้ำซ้อนกับมาตรการที่มีอยู่ และพร้อมที่จะนำเสนอต่อรัฐบาลและตอบคำถามของสาธารณะในทุกมิติ โดยได้เสนอเครื่องมือปกป้องเด็กถึง 9 เครื่องมือ 9 มาตรการสำคัญ ดังนี้

1)มาตรา 14 ควบคุมฉลากและบรรจุภัณฑ์ โดยกำหนดให้ผู้ผลิต ผู้นำเข้าอาหารฯ ต้องไม่ใช้เทคนิคดึงดูดเด็กบนซอง กล่อง ขวด ฯลฯ เช่น ต้องไม่ใช้ภาพการ์ตูน ดารา หรือคนมีชื่อเสียงที่จะชี้นำและชักจูงเด็กได้ และควรให้แสดงสัญลักษณ์กำกับบนหน้าซองที่เข้าใจง่ายว่าอาหารหรือเครื่องดื่มนั้นมีไขมัน น้ำตาล หรือโซเดียมสูง ซึ่งเป็นการแจ้งเตือนภัยให้กับเด็กและผู้ปกครองเพื่อให้ตัดสินใจเลือกซื้ออาหารและเครื่องดื่มที่เหมาะสมมากขึ้น
2)มาตรา 15 ควบคุมการแสดงความคุ้มค่าด้านราคา โดยกำหนดให้ผู้ผลิต ผู้นำเข้าอาหารฯ ต้องต้องไม่แสดงความคุ้มค่าด้านราคาในฉลาก หรือ ณ จุดจำหน่ายของอาหารฯที่ไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานโภชนาการที่กำหนด เช่น เปรียบเทียบปริมาณกับราคา ป้ายเพิ่มปริมาณไม่เพิ่มราคา หรือ ป้ายที่สื่อความคุ้มค่าด้านปริมาณที่จะจูงใจให้ซื้อมากขึ้น
3)มาตรา 16 ควบคุมการจำหน่ายในสถานศึกษา โดยสถานศึกษาระดับต่ำกว่าอุดมศึกษา ทั้งปฐมวัย ประถมศึกษา มัธยมศึกษา ต้องไม่มีการจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มที่ไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานโภชนาการที่กำหนด
4)มาตรา 17 ควบคุมการโฆษณา โดยต้องไม่มีผู้ใดโฆษณาผลิตภัณฑ์อาหารที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพเด็ก ทั้งทางโทรทัศน์ วิทยุ ระบบขนส่งสาธารณะ และสื่อออนไลน์ที่เป็นไปเพื่อประโยชน์ทางการค้า
5)มาตรา 18 ควบคุมการส่งเสริมการขาย โดยกำหนดให้ผู้ผลิต ผู้นำเข้า ผู้จำหน่าย หรือตัวแทน ต้องไม่ทำการส่งเสริมการขายผลิตภัณฑ์อาหารที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพเด็ก เช่น แลก แจก แถม ให้ชิงโชค ชิงรางวัล
6)มาตรา 19 ควบคุมการบริจาค มอบหรือให้ (เป็นสปอนเซอร์และกิจกรรมทางสังคมเพื่อการตลาด) ผลิตภัณฑ์อาหารที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพเด็ก โดยกำหนดให้ผู้ผลิต ผู้นำเข้า ผู้จำหน่าย หรือตัวแทน ต้องไม่ดำเนินการดังกล่าวในสถานศึกษาและสถานที่ศูนย์รวมของเด็ก

7)มาตรา 20 และ 21 ควบคุมการบริจาค มอบ ให้ และสนับสนุน (เป็นสปอนเซอร์และกิจกรรมทางสังคมเพื่อการตลาด) สิ่งของอุปกรณ์ของใช้หรืองบประมาณ โดยกำหนดให้ผู้ผลิต ผู้นำเข้า ผู้จำหน่าย หรือตัวแทน หากจะบริจาค มอบ ให้ และสนับสนุนสิ่งของอุปกรณ์ของใช้หรืองบประมาณในการจัดกิจกรรมใดแก่เด็ก ไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม จะต้องไม่เชื่อมโยงโดยตรงถึงผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพเด็ก
8)มาตรา 22 ควบคุมการจัดตั้งกลุ่ม ชมรม ชุมชนออนไลน์ โดยจะต้องไม่มีผู้ใดสนับสนุนให้เกิดการบริโภคผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพเด็กเพื่อประโยชน์ทางการค้า ทั้งในโลกออนไลน์และออฟไลน์
9)มาตรา 23 และมาตรา 24 ควบคุมการติดต่อชักชวนหรือจูงใจเด็ก โดยกำหนดให้ผู้ผลิต ผู้นำเข้า ผู้จำหน่าย หรือตัวแทน จะต้องไม่ติดต่อชักชวนหรือจูงใจเด็ก เพื่อสนับสนุนให้เกิดการบริโภคผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพเด็ก
ไส่วนตัวเอง คิดว่า 9 มาตรการนี้ มันค่อนข้างจะครบ ตามที่องค์การอนามัยโลกแนะนำคือ ลดการพบเห็น หรือเทคนิคจูงใจทางการตลาดได้ค่อนข้างครอบคลุมเลย ในมิติของการใช้ชีวิตของเด็ก มองว่าทุกมาตรการสำคัญ แล้วก็จะสามารถลดอำนาจและลดการพบเห็นการทำการตลาดอาหารรสหวาน มัน เค็มได้ อย่างแท้จริง อย่างเป็นรูปธรรม” ดร.นงนุช กล่าวยืนยัน
ทั้งนี้ เพื่อยุติปัญหาโรคอ้วนของเด็กไทยได้สำเร็จ ประชาชนที่อยากเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันให้ (ร่าง) พ.ร.บ.ควบคุมการตลาดอาหารและเครื่องดื่มที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพเด็ก สามารถส่งเสียงสนับสนุนเห็น ที่เว็บไซต์ https://www.change.org/