เรียกว่านับตั้งแต่เข้ามารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เป็นวาระที่ 2 เมื่อวันที่ 21 มกราคมที่ผ่านมา ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ดำเนินนโยบายหลายอย่างที่ไม่ถูกใจชาวอเมริกันจำนวนมาก เช่น การลดจำนวนเจ้าหน้าที่รัฐและลดขนาดหน่วยงานรัฐ, การเนรเทศผู้อพยพแบบเหมารวม, การลดความช่วยเหลือระหว่างประเทศ, การเข้าข้างรัสเซียและอิสราเอล และที่สำคัญคือการขึ้นภาษีนำเข้าจากทั่วโลก จนนำไปสู่สงครามทางการค้ากับจีน และทำให้ราคาสินค้าในสหรัฐฯ ที่สั่งนำเข้ามาจากจีนมีราคาแพงขึ้น เรียกว่าแม้แต่คนที่ลงคะแนนเลือกทรัมป์ในการเลือกตั้งเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมายังอดบ่นไม่ได้ รวมทั้งนายอีลอน มัสก์ ที่เดือดร้อนจากยอดขายรถเทสลาที่ลดลง ยังเริ่มตีตัวออกห่าง
จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ที่ผลสำรวจล่าสุดของรอยเตอร์ อิปซอสครั้งล่าสุด คะแนนนิยมโดยภาพรวมของเขาในสายตาชาวอเมริกันจะลดลงมาจาก 47% ตอนชนะเลือกตั้งใหม่ ๆ เหลือเพียง 42% แค่นั้นไม่พอ ผลสำรวจของหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์สร่วมกับมหาวิทยาลัยเซียนา ที่ให้ชาวอเมริกันเลือกคำที่ใช้ประเมินผลงานในช่วงที่ผ่านมาของเขาได้ดีที่สุด ปรากฎว่า คำว่า "ยุ่งเหยิง" มาแรงเป็นอันดับ 1, ตามด้วย "น่าสยอง" เป็นอันดับที่ 2 ที่น่าดีใจหน่อยคือ "น่าตื่นเต้น" ตามมาเป็นอันดับที่ 3
ว่ากันว่าหากมีการประเมินความนิยมของประธานาธิบดีทรัมป์ หลังที่ที่เขาเดินทางไปร่วมประกอบพิธีพระศพของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา คะแนนนิยมของเขาน่าจะตกต่ำดำดิ่งลงอีก เพราะประธานาธิบดีทรัมป์ถูกวิจารณ์เป็นอย่างมากว่า แต่งกายไม่เหมาะสม แทนที่จะใส่สูทสีดำเพื่อแสดงความไว้อาลัยเหมือนคนอื่น กลับสวมชุดสูทน้ำเงินและเน็กไทก็ไม่ใช่สีดำอีกด้วย ทำให้ชาวอเมริกันจำนวนมากวิจารณ์ผ่านสื่อออนไลน์ว่า ไม่รู้จักกาละเทศะทำให้ประเทศชาติขายหน้า เท่านั้นไม่พอท่าทีของเขาที่ดูกระตือรือล้นในการพบปะกับผู้นำจากชาติต่าง ๆ มากจนเกินความพอดี ยังทำให้ชาวอเมริกันส่วนหนึ่งวิจารณ์ว่า ดูไม่เหมาะสม หวังว่าคงไม่ไปเจรจาการค้าในช่วงที่คนส่วนใหญ่กำลังเศร้าโศกอีกด้วย ดังนั้นช่วงนี้บรรดาทีมงานของประธานาธิบดีทรัมป์ คงต้องเร่งหากลยุทธใหม่เพื่อเรียกคะแนนนิยมคืน ซึ่งอาจเป็นเหตุผลที่ทำให้ท่าทีของเขาเริ่มอ่อนลงในช่วงหลัง ๆ
