“บิ๊กต่าย” ยันกล้านั่งอากาศยานตำรวจแม้ยังไม่ได้ตรวจ ย้ำ ! หากพบทุจริตฟันไม่เลี้ยง ส่วนข้อความ “คนตายส่งถึงคนเป็น” รวมถึงสาเหตุที่วิจารณ์ “สลิงชุดหางใบพัดขาด” สั่ง จเรฯ-สตส. ร่วมตรวจสอบทั้งหมด
วันนี้ ( 28 พ.ค.68 ) พล.ต.อ. กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ ผบ.ตร. ไปตรวจเยี่ยม ให้กำลังใจข้าราชการกองบินตำรวจ เพื่อให้นักบินใช้อากาศยานได้อย่างมั่นใจ และปลอดภัย รวมถึงพูดคุยรับฟัง และตรวจสอบข้อมูลรายละเอียดของอากาศยานกองบินตำรวจทั้งหมด หลังเกิดเหตุการณ์ตก 2 ลำ ในระยะห่างเพียง 1 เดือน
ผบ.ตร. เผยว่า เบื้องต้นยังไม่ทราบสาเหตุที่เฮลิคอปเตอร์ตก จึงได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบ โดยมีผู้เชี่ยวชาญจากบริษัทที่สั่งซื้อเฮลิคอปเตอร์มาร่วมตรวจสอบ ส่วนข้อความของนักบินที่เสียชีวิต ส่งให้กับเพื่อน ระบุว่า "เครื่องบินแทบบินไม่ได้แล้ว" ตนมองว่า ไม่ว่าจะเป็นข้อความที่ส่งกัน หรือแสดงความคิดเห็นต่อกัน ตนให้ความเคารพ และจะไม่ตัดสินว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ แต่ทุกความเห็น และข้อความที่ส่งให้กัน ตนพร้อมรับฟัง และได้สั่งการไปยัง พล.ต.อ. ธัชชัย ปิตะนีละบุตร จเรตำรวจแห่งชาติ ให้ดูแลขั้นตอนการตรวจสอบ ต้องไม่มองข้ามประเด็นที่มีการพูดคุยกันอยู่นี้
ส่วนที่มีกระแสข่าวว่า เฮลิคอปเตอร์ตกเกิดจากชุดสลิงใบพัดหลังขาด ผบ.ตร. เผยว่า เมื่อมีพูดกัน แสดงความเห็นกัน เป็นสิ่งที่แสดงความคิดเห็นและวิเคราะห์ วิจารณ์ได้ สิ่งเหล่านี้เอามาดูหมด เพราะเป็นประเด็น ดังนั้นการตรวจสอบจะต้องเคลียร์ทุกประเด็น
ส่วนที่ปรากฎข้อความ ระบุถึงการทุจริตในการซ่อมบำรุง ทำให้เรื่องนี้ไม่ใช่อุบัติเหตุ แต่เป็นเรื่องที่ควรจะป้องกันได้นั้น ผบ.ตร. เผยว่า ต้องให้จเรตำรวจ เป็นผู้รับฟัง และตรวจสอบในทุกประเด็น ซึ่งกำลังดำเนินการอยู่ ซึ่งต้องตรวจสอบไปถึงเรื่องของการบริหาร และการใช้อากาศยานว่าเป็นอย่างไร พร้อมย้ำว่า ผลการตรวจสอบที่ออกมาอย่างตรงไปตรงมา หากพบการทุจริต ก็จะจัดการอย่างเด็ดขาดทันที เพราะเป็นเรื่องสูญเสียไม่สามารถประเมินความรู้สึกได้ ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นเรื่องทุจริต อุบัติเหตุ หรือการบริหารที่ผิดพลาด หรือ งบประมาณ ก็จะให้สำนักงานตรวจสอบภายใน หรือ สตส. ทำหน้าที่ดำเนินการตรวจสอบซ้ำ
อย่างไรก็ตามเรื่องการซ่อมบำรุงเป็นไปตามวงรอบ 100-300 ชั่วโมงบิน เพื่อให้เป็นไปตามขั้นตอนการตรวจเช็คสภาพ ถ้าไม่ตรวจเช็คจะเป็นความผิดปกติ หลังตรวจเช็คแล้ว นักบินก็ต้องร่วมตรวจสอบอีกครั้ง เมื่อมั่นใจว่าสามารถบินได้ จึงจะให้ขึ้นบิน ซึ่งนักบินต้องมั่นใจในเครื่องบินของตัวเอง เมื่อมีภารกิจขึ้นมา นักบินที่มีชั่วโมงบินกับเครื่องบินลำนั้นก็ต้องไปรับภารกิจและมีการตรวจสอบ และยืนยันว่าในวันเกิดเหตุ ไม่ได้เป็นการทดสอบบินหลังการซ่อมบำรุง แต่เป็นการขึ้นบินตามภารกิจที่ได้รับมอบหมาย และอยู่ระหว่างกลับที่ตั้ง
สำหรับอากาศยานของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ประจำการอยู่ มีเครื่องบิน 11 ลำ เฮลิคอปเตอร์ 71 ลำ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นอากาศยานที่รอจำหน่าย และมีเกือบ 30 ลำยังใช้งานได้อยู่ โดยเป็นเฮลิคอปเตอร์ 22 ลำ และลำที่มีอายุมากสุด มีอายุมากกว่า 40 ปี และอายุเฮลิปคอปเตอร์ที่น้อยสุด ประมาณ 3-4ปี
ส่วนที่ต้องระงับการขึ้นบินของอากาศยานกองบินตำรวจทุกลำไว้ก่อน เพื่อให้รอให้ผู้เชี่ยวชาญและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาร่วมตรวจสอบ ให้พร้อมที่จะบิน เพื่อให้เกิดความมั่นใจ โดยจะใช้เวลาไม่นาน หากพบความผิดปกติ ก็จะส่งเข้าสู่การซ่อม แต่เป็นการซ่อมเล็กไม่ใช่วงรอบซ่อมใหญ่ ซึ่งบริษัทที่เข้าร่วมตรวจสอบจะให้กองบินตำรวจดำเนินการ และให้รายงานมาที่ฝ่ายบริหารสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ส่วนอากาศยานลำใดที่มีความจำเป็นในภารกิจเร่งด่วน ก็จะอยู่ลำดับต้นๆ ของการตรวจสอบ ทั้งนี้ตนอยากให้นักบินเข้าร่วมตรวจสอบด้วยเพื่อให้เกิดความโปร่งใส
ส่วนภารกิจที่จะใช้อากาศยานในวันเสาร์ที่ 31 พฤษภาคมนี้ ผบ.ตร. ตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “กล้าที่จะขึ้นบิน ต่อให้ยังไม่มีการตรวจสอบ และกล้าที่จะตรวจสอบเรื่องทุจริต ให้ตรงไปตรงมาเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ไม่กลัวที่จะเป็นผู้ตรวจสอบ และเป็นผู้ดำเนินการ ให้ไปในทิศทางที่ถูกต้อง ไม่กลัวแน่นอน”
ทั้งนี้ยืนยันว่า ในปี 2569 จะยังไม่มีการจัดซื้อเครื่องบินใหม่ แต่มีแผนจะจัดซื้อตั้งแต่ปี 70 เป็นต้นไป ทั้งเครื่องบินและเฮลิคอปเตอร์