วันนี้ (4 ก.ค. 68) ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดย กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บก.ปอท.) ร่วมกันจับกุม นางสาวเบ็ญจมาศ ผู้ต้องหาเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์
ในความผิดฐาน “ร่วมกันเป็นอั้งยี่, ร่วมกันมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ, ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยการแสดงตนเป็นคนอื่น, ร่วมกันโดยทุจริต หรือโดยหลอกลวง นําเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน, สมคบกันโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน และร่วมกันฟอกเงิน”
สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.1 บก.ปอท. ได้ดำเนินการสืบสวนติดตามผู้ต้องหาตามหมายจับ ซึ่งเป็นเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกลวงให้เหยื่อโอนเงินให้ ซึ่งวิธีการหลอกลวงจะใช้เฟซบุ๊กปลอม ติดต่อหาเหยื่อและพูดคุยด้วยความสนิทสนมจนเกิดความเชื่อใจแล้ว จึงชวนลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลผ่านแอปพลิเคชันปลอมชื่อ “Tidex”
โดยในคดีนี้ผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินให้คนร้ายผ่านบัญชีม้าหลายบัญชี (1 ในนั้นเป็นบัญชีของผู้ต้องหาตามหมายจับรายนี้) รวมมูลค่าความเสียหายประมาณ 22.4 ล้านบาท
ซึ่งกลุ่มผู้ต้องหาและผู้ต้องหาตามหมายจับรายนี้ ได้หลบหนีไปอยู่ฝั่งประเทศเพื่อนบ้านและยังหลบหนีอยู่ โดยสมาชิกรายอื่น ๆ ในเครือข่ายได้ถูกจับกุมดำเนินคดีส่งศาลอาญาพระโขนงไปแล้ว ในปี 2567 และศาลอาญาพระโขนงมีคำพิพากษาศาลชั้นต้นตัดสินให้ลงโทษจำเลย
เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.1 บก.ปอท. ซึ่งได้สะกดรอยติดตามผู้ต้องหารายนี้มาโดยตลอด จึงนำกำลังไปจับกุมผู้ต้องหามาดำเนินคดีตามกฎหมายและจะได้ดำเนินการสืบสวนขยายผลเพื่อจับกุมผู้ที่ร่วมขบวนการรายอื่นๆ ต่อไปสอบถามผู้ต้องหาให้การว่า ในครั้งแรก ผู้ต้องหาถูกหลอกลวงให้เปิดบัญชีธนาคารและข้ามไปทำงานฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อหลอกลวงเอาเงินจากประชาชน
โดยไม่เต็มใจที่จะไปทำ และถูกข่มขู่ บังคับสารพัด จึงหนีกลับมาอยู่ภายในประเทศไทย แต่ในครั้งถัดๆ ไป ผู้ต้องหาเดินทางข้ามกลับไปทำงานอีกด้วยความสมัครใจ โดยยอมรับว่าทำงานอยู่ฝั่งประเทศเพื่อนบ้านมาแล้วหลายครั้งและหลายแก๊ง