ศาลจังหวัดพัทลุง สั่งจำคุกแก๊งคอลเซ็นเตอร์รายใหญ่ในไทย 70 ราย ใช้โรงแรมในจังหวัดนครศรีธรรมราชหลอกเหยื่อ หัวหน้าแก๊งเจอคุกสูงสุด 24 ปี พร้อมปรับ – ริบของกลาง ให้ร่วมชดใช้เงินคืนผู้เสียหายชาวญี่ปุ่น
วันนี้ (8 ก.ค.68) กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ได้เผยแพร่คำพิพากษาของศาลจังหวัดทุ่งสง คดีหมายเลขดำที่ อ 467/2567 คดีหมายเลขแดงที่ อ 397/2568 ลงวันที่ 22 พ.ค.68 กรณีการร่วมปฏิบัติการตรวจค้นเครือข่ายคอลเซ็นเตอร์ชาวไทยและชาวจีนรายใหญ่ที่สุดเท่าที่ตรวจพบในประเทศไทย ซึ่งสามารถควบคุมชาวต่างชาติ และตรวจยึดหลักฐานได้เป็นจำนวนมาก
โดยศาลจังหวัดทุ่งสง ได้พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1- 68 ซึ่งเป็นคนจีนและคนไทยทุกราย โดยหัวหน้าแก๊งคอลเซ็นเตอร์ถูกตัดสินจำคุก 24 ปี ส่วนนิติบุคคลที่เป็นจำเลยที่ 69 และ70 ศาลลงโทษปรับคนละ 88,000 บาท และให้จำเลยทั้ง 70 คน ร่วมกันคืนหรือชดใช้เงินที่ยังไม่ได้คืนให้แก่ผู้เสียหายชาวญี่ปุ่น 2 ราย โดยให้คืนเงินจำนวน 10,670,000 เยน (2,475,636.47 บาท) ให้แก่ผู้เสียหายที่ 1 และจำนวน 450,000 เยน (10,408.29 บาท) ให้แก่ผู้เสียหายที่ 2 และริบของกลาง
กรณีดังกล่าวสบเนื่องจาก ดีเอสไอสืบทราบว่าเมื่อประมาณเดือน พ.ค.66 มีกลุ่มเครือข่ายชาวไทยและชาวจีนใช้โรงแรมแห่งหนึ่งในจังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นโรงแรมตึกแถว 5 คูหา 4 ชั้น มีห้องพัก จำนวน 22 ห้อง ตั้งสำนักงานหลอกลวงผู้เสียหายทางโทรศัพท์ หรือแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยจะมีกลุ่มคนร้ายที่เป็นคนไทยทำหน้าที่รักษาความปลอดภัย ป้องกันบุคคลเข้า-ออกภายในอาคาร มีชาวจีนและชาวไทยหลายสิบคนนั่งทำงานหลอกลวงผู้เสียหายที่อยู่ในต่างประเทศ มีการแชตสนทนาเป็นภาษาจีน ภาษาญี่ปุ่น ภาษารัสเซีย และภาษาไทย ด้วยอุปกรณ์แปลภาษา
ต่อมาวันที่ 28 มี.ค.67 กองคดีเทคโนโลยีและสารสนเทศ ดีเอสไอ ได้บูรณาการทางการข่าวและตรวจค้นจับกุมร่วมกับกองกำกับการ 3 กองบังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 5, ตำรวจภูธรภาค 8, สำนักงาน กสทช., สำนักงานตำรวจตรวจคนเข้าเมือง และกรมการจัดหางาน ลงพื้นที่ปิดล้อมตรวจค้นพร้อมกัน 3 จุด และขยายผลระหว่างตรวจค้นอีก 1 จุด ในอำเภอฉวาง จังหวัดนครศรีธรรมราช ผลการตรวจค้น ได้จับกุมผู้ต้องหาชาวจีน 52 คน ชาวไทย 19 คน รวม 71 คน คอมพิวเตอร์ 223 เครื่อง โทรศัพท์ 1,001 เครื่อง ไอแพด 14 เครื่อง ซิมการ์ด 298 ซิม สมุดบัญชีธนาคาร 86 เล่ม และสินค้าหลีกเลี่ยงศุลกากรอีกจำนวนมาก
โดยในแต่ละจุดที่ตรวจค้นพบหนังสือเดินทางประเทศจีน ที่ใช้เดินทางเข้า-ออกประเทศกัมพูชาบ่อยครั้ง บางส่วนมีการอยู่เกินระยะเวลาที่ได้รับอนุญาตเข้าประเทศ และพบโทรศัพท์มือถือจำนวนมากที่ใช้ในการส่งลิงก์ เพื่อให้เหยื่อคลิกลิงก์ จึงได้แจ้งข้อหาและนำส่งพนักงานสอบสวนท้องที่เกิดเหตุดำเนินคดี ก่อนจะโอนสำนวนการสอบสวนไปยังกองบังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 5
ต่อมาพนักงานอัยการจังหวัดทุ่งสง ได้ยื่นฟ้องผู้ต้องหาชาวจีน 52 คน ชาวไทย 16 คน และนิติบุคคล 2 ราย รวม 70 ราย เป็นจำเลยในความผิดฐาน อั้งยี่ ซ่องโจร, ฉ้อโกงประชาชน, ความผิดตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ, ความผิดตามพระราชบัญญัติคอมพิวเตอร์ และความผิดตามพระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี