เว็บไซต์หนังสือแขมร์ไทม์ส รายงานว่า นับตั้งแต่เกิดสถานการณ์ขัดแย้งชายแดน ไทย-กัมพูชา จนนำมาสู่การปิดด่านชายแดน และมีการปะทะทางการทหารนั้น ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจกัมพูชาไม่น้อย แม้การนำเข้า ผัก-ผลไม้, ปุ๋ยและพลังงาน จากไทยจะมีปริมาณลดลงมาก แต่ยังสามารถหาแหล่งทดแทนอื่นได้ ต่างจากการส่งออก ที่กัมพูชาอาจทำไม่ได้ตามเป้า โดยเฉพาะการส่งออกมันสำปะหลังดิบ ไปยังประเทศไทย ซึ่งในช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้ มีมูลค่าถึง 130 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือเกือบ 4,300 ล้านบาท แต่หากความขัดแย้งกับไทยยังคงดำเนินต่อไป และการขนส่งทางบกยังคงมีข้อจำกัด ตัวเลขการส่งออกเหล่านี้อาจลดลงอย่างรวดเร็ว
ส่วนภาคอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งกับไทยมากที่สุด คือภาคการท่องเที่ยว เนื่องจากนักท่องเที่ยวจากประเทศไทย เป็นตลาดอันดับหนึ่งของกัมพูชาในปีที่ผ่านมา โดยมีนักท่องเที่ยวไทยมา้เยือนกัมพูชาถึง 2.15 ล้านคน คิดเป็น 32% ของนักท่องเที่ยวทั้งหมด หลังจากเกิดเหตุการณ์ปะทะชายแดน รายได้จากนักท่องเที่ยวชาวไทยที่ซื้อบัตรเข้าชมโบราณสถานใกล้ชายแดนบางแห่ง ในเดือนที่ผ่านมา ลดลงถึง 92.32% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ขณะที่นักท่องเที่ยวชาติอื่นก็ลดลง เพราะหวั่นเกรงเรื่องความปลอดภัยจากสถานการณ์สู้รบ แรงงานภาคการท่องเที่ยวกัมพูชากว่า 5 แสนคน จึงมีแนวโน้มที่จะมีรายได้ลดลง และแน่นอนว่าความขัดแย้งครั้งนี้ ย่อมกระทบเศรษฐกิจไทยด้วยไม่มากก็น้อยเช่นกัน ทั้งสองประเทศจึงต้องยึดมั่นในหลักการทูตอย่างสร้างสรรค์ เพื่อฟื้นฟูสันติภาพ และกลับมาเปิดการค้าขายอีกครั้ง เพราะความขัดแย้งไม่ได้เอื้อประโยชน์แก่ฝ่ายใด แต่กลับก่อให้เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจและความทุกข์ทรมานของประชาชนทั้ง 2 ฝ่าย
