DNA เป็นตัวพิสูจน์ ! กรณีเด็กนักเรียน 13 ปี ชาวกัมพูชาถูกพลักดันกลับประเทศ ล่าสุดผู้เป็นแม่อ้าง "ตั้งท้องกับพ่อคนไทย แล้วกลับไปกัมพูชา จึงใช้ชื่อพี่ชายชาวกัมพูชา มาสวมชื่อเป็นพ่อ" ด้านหน่วยงานไทยขอพิสูจน์ เก็บ DNA เด็กชาย-พ่อคนไทย เทียบคู่กัน ก่อนดำเนินการขั้นต่อไป
คืบหน้ากรณีครูนักเรียนร้องไห้กอดกัน หลังจากตำรวจพาแม่ชาวกัมพูชา ไปเชิญตัวเด็กชาย อายุ 13 ปี ออกจากโรงเรียนบัวเชดวิทยา เพื่อผลักดันกลับประเทศกัมพูชา
ทั้งนี้มติที่ประชุมทีมสหวิชาชีพ เพื่อวางแผนให้ความช่วยเหลือ เมื่อวันศุกร์ที่ 29 สิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา มีมติที่ประชุมให้ดำเนินการ ดังต่อไปนี้
1. ประเด็นการตรวจ Deoxyribonucleic Acid (DNA) ด้วยนางเซียบฯ ผู้เป็นมารดาของ ด.ช.ตงเฮงฯ ให้ข้อมูลว่า ด.ช.ตงเฮงฯ มีบิดาชื่อ นายศิริโชคฯ (สามีคนปัจจุบัน) แต่เนื่องจากขณะตั้งครรภ์ตนเองได้เดินทางกลับประเทศกัมพูชาและคลอดบุตร จึงให้ญาติเกี่ยวข้องเป็นพี่ชายแม่เด็ก เพิ่มชื่อเป็นบิดาเด็กในสูติบัตร ที่ประชุมจึงมีมติให้ดำเนินการตรวจ DNA เพื่อพิสูจน์ได้ว่า ด.ช.ตงเฮงฯ กับนายศิริโชคฯ มีความสัมพันธ์ เป็นบิดา-มารดากันจริงตามสายเลือดหรือไม่ เพื่อรับสิทธิทางกฎหมายและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อเด็กตามมาตรา 22 ของพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546 ซึ่งมีค่าใช้จ่ายประมาณ คนละ 6,000 บาท (ด.ช.ตงเฮงฯ กับ นายศิริโชคฯ) โดยจะประสานโรงพยาบาลสุรินทร์ ดำเนินการต่อไป
หากตรงกัน
สามารถเพิ่มชื่อบิดาในใบเกิดเด็ก ได้รับสัญชาติไทยตามบิดา และเป็นพลเมืองไทยถูกต้องตามกฎหมาย โดยให้นำผลตรวจ DNA ไปยื่นคำร้องต่อศาลเยาวชนและครอบครัว และนำคำสังศาลฯ ไปยื่นต่อสำนักงานปกครองเพื่อเพิ่มชื่อทางทะเบียนให้แก่เด็ก
หากไม่ตรงกัน
(1) เสนอแนวทางให้ นางเซียบฯ และ ด.ช.ตงเฮงฯ ดำเนินการจัดทำเอกสารการเข้าเมืองต่างๆ ให้ถูกต้องตามกฎหมาย เพื่ออาศัยอยู่ในประเทศไทยได้อย่างถูกต้อง
(2) เสนอแนวทางให้ นางเซียบฯ จดทะเบียนสมรสกับ นายศิริโชคฯ ให้ถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อขอทำวีซ่าติดตามคู่สมรส (3) เสนอแนวทางให้ นายศิริโชคฯ ดำเนินการจดทะเบียนรับ ด.ช.ตงเฮงฯ เป็นบุตรบุญธรรมตามกฎหมาย ณ ศูนย์อำนวยการรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรม กรณีคนไทยขอรับเด็กต่างด้าวเป็นบุญบุตรธรรรม การทำงานให้ยึดผลประโยชน์สูงสุดของเด็ก และการตัดสินใจของเด็กเป็นที่ตั้ง แหล่งเงินค่าใช้จ่ายในการตรวจ DNA จำนวน 3 แหล่ง ดังนี้ (1) สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดสุรินทร์ โดยกองทุนคุ้มครองเด็ก ด้วยวิธีการขอมติที่ประชุมทีมสหวิชาชีพ เพื่อเสนอต่อที่ประชุมคณะอนุกรรมการบริหารกองทุนคุ้มครองเด็กจังหวัดสุรินทร์ และเสนอไปยังคณะกรรมการบริหารกองทุนคุ้มครองเด็กแห่งชาติ เพื่อพิจารณาอนุมัติตามประมาณการค่าใช้จ่ายการตรวจ DNA จากโรงพยาบาลรัฐ จากนั้นจึงดำเนินการตรวจได้ ซึ่งจะได้รับการจัดสรรในปีงบประมาณ พ.ศ.2569 (2) ในวันที่ 1 กันยายน 2568 ยื่นขอกองทุนยุติธรรม ณ สำนักงานอัยการคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมายและการบังคับคดี (3) เงินบริจาคจากโรงเรียนบัวเชดวิทยา
2. ประเด็นการศึกษา
สำนักงานศึกษาธิการจังหวัดสุรินทร์ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาสุรินทร์ (สพม.) และโรงเรียนบัวเชดวิทยา จะดำเนินการออกแบบการเรียนการสอนรูปแบบพิเศษและมีความเหมาะสม ให้แก่เด็ก เพื่อให้เด็กได้รับการศึกษาปกติ และยังคงสภาพเป็นนักเรียน อยู่ในระบบการศึกษา โดยคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของเด็ก ขณะเด็กเข้ารับการคุ้มครองสวัสดิภาพตามอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (CRC) สนธิสัญญาระหว่างประเทศ บ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดสุรินทร์ หากผลพิสูจน์ DNA พบว่า ด.ช.ตงเฮงฯ เป็นคนสัญชาติกัมพูชาและมีเหตุให้ถูกผลักดันกลับประเทศต้นทางจริง และครอบครัวทำเอกสารเข้าเมืองใหม่อย่างถูกต้อง เด็กซึ่งเป็นผู้ติดตาม (สถานะ G) ก็สามารถเข้ารับการศึกษาในประเทศไทยได้ดังเดิม
3. ประเด็นการขึ้นทะเบียนแรงงานให้ถูกต้อง จัดหางานจังหวัดสรินทร์ และตำรวจตรวจคนเขาเมืองจังหวัดสุรินทร ให้ข้อมูลว่า ขณะนี้ นางเชียบฯเป็นผู้ต้องกักของตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดสุรินทร์ เพื่อรอการส่งกลับ หากต้องการกลับเข้ามายังประเทศไทยให้ดำเนินการขึ้นทะเบียนแรงงานให้ถูกต้อง
4. ประเด็นการสงเคราะห์ชั่วคราว นางเชียบฯ และ ด.ช.ตงเฮงฯ เข้ารับการสงเคราะห์ชั่วคราว ณ บ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดสุรินทร์ ตั้งแต่วันที่ 28 สิงหาคม 2568 เวลา 17.30 น. เป็นต้นไป เพื่อดำเนินการรอผลตรวจดีเอ็นเอของDeoxyribonucleic Acid (DNA) ด.ช.ตงเฮงฯ มีบิดาชื่อ นายศิริโชคฯ ให้เรียบร้อย โดย สำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดสุรินทร์ ร่วมกับ บ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดสุรินทร์
ล่าสุดวันนี้ (3 ก.ย. 68) ที่ศูนย์ราชการจังหวัดสุรินทร์ อำเมืองสุรินทร์ นายชำนาญ ชื่นตา ผู้ว่าราชการจังหวัดสุรินทร์ เปิดเผยว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องอยู่ในระหว่างดำเนินการ ตามที่มีการประชุมสหวิชาชีพ เรื่องของผู้เป็นแม่ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ก็ดำเนินการไปโดยเฉพาะการทำเอกสารหลักฐานให้ถูกกต้องตามกฎหมาย
ขณะที่ลูกชายเด็กตงเฮง เท่าที่ได้รับข้อมูลว่าเด็กจริง ๆ ก็น่าจะเกิดที่กัมพูชา แม่เป็นกัมพูชา พ่อก็น่าจะเป็นกัมพูชาแล้วก็เข้ามาอยู่ในประเทศไทยตั้งแต่ประมาณสัก 6 ขวบ
ฉะนั้นก็มาเริ่มเรียนโรงเรียนตั้งแต่ ป. 1 จนปัจจุบันนี้ก็อายุ 13 ปี ต่อมา ตม. ก็จะผลักดันแม่ออกไปตามหลักกฎหมาย แต่เด็กมีสิทธิ์อยู่ต่อได้ แต่ว่าถ้าเอาแม่ไปลูกเขาก็ต้องไปด้วยเพราะว่าเขาก็ไม่มีความผูกพันกันกับพ่อ (พ่อคนไทย)
เมื่อมีข่าวออกมาทางหลายหน่วยงาน โดยเฉพาะตนก็ได้พูดคุยว่าเราอย่าเพิ่งผลักดันแม่ออกไป ให้ทางพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ไปขอรับทั้งแม่ทั้งลูกมาอยู่บ้านพักเด็กในระยะนี้ก่อน ขอให้ทาง ตม. ขยายการที่จะผลักดันกลับประเทศทั้งตัวแม่และก็ลูกออกไป ให้ทาง พม.ได้ดูแล แล้วให้มีการดำเนินการให้ถูกต้องต่อไป
รวมทั้งกระบวนการตรวจ DNA เพื่อยืนยันพิสูจน์ตัวตนกับผู้เป็นพ่อชาวไทย โดยขณะนี้ทุกอย่างกำลังดำเนินการ หาก DNA ตรงกันกับพ่อคนไทยก็อาจจะทำเป็นเรื่องสัญชาติไทยในภายหลัง แต่ถ้าไม่ใช่มันก็มีในเรื่องของมติ ครม. อยู่ เดือนหน้าที่จะมีผลบังคับใช้ในตัวลูกตอนนี้อยู่ในไทยไปก่อน จนกว่ากระบวนการจะเสร็จสิ้น
การตรวจ DNA ก็ทาง พม.เขาจะรับดูแลให้ ค่างบประมาณในการตรวจคนละ 6,000 บาท ทั้งนี้ทั้งนั้นเด็กกับพ่อก็ต้องยินยอมให้ตรวจด้วย เพราะฉะนั้นกระบวนการตอนนี้ก็คือยังอยู่ในบ้านพักเด็กและครอบครัวสุรินทร์ต่อไป จนกระบวนการต่างๆจะแล้วเสร็จ ซึ่งจะมีหน่วยงานต่างที่เกี่ยวข้องและสหวิชาชีพ จะเข้ามาดูแล และกำหนดแนวทางในการช่วยเหลือต่อไป
ส่วนการเรียนทางกระทรวงศึกษาฯ และสหหาวิชาชีพ จะให้ช่องทางพิเศษในการให้เด็กได้เรียนในช่วงนี้ โดยเรียนช่องทางออนไลน์