ข่าวเย็นประเด็นร้อน - นับถอยหลัง คดีชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ที่ศาลฎีกาฯ นักการเมือง นัดฟังคำสั่งคดี นายทักษิณ ชินวัตร และข้าราชการอีก 12 คน ในวันพรุ่งนี้ ผลคำสั่งจะออกมาทิศทางไหนบ้าง วันนี้มาติดตามกันครับ
ย้อนกลับไป ก่อนถึงวันโหวตเลือกนายกฯ คนที่ 32 เพียง 1 วัน นายทักษิณ ชินวัตร บินออกนอกประเทศด้วยเครื่องบินเจ็ตส่วนตัว จุดหมายปลายทางคือสิงคโปร์ อ้างว่าไปตรวจสุขภาพ พบหมอกระดูก ปอด แต่ติดขัดเรื่องกระบวนการ ตม.ของไทย ทำให้เสียเวลาไปกว่า 2 ชั่วโมง จึงไม่สามารถลงสนามบินได้ทันตามเวลาที่แจ้งไว้ เป็นเหตุให้ต้องเปลี่ยนจุดหมายปลายทางไปยังนครดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ระหว่างทาง เครื่องบินได้บินวนกลางมหาสมุทรอินเดียนานหลายนาที เพื่อรอสนามบินปลายทางอนุญาตให้ลงจอด จนมาถึงเมื่อเช้านี้ เครื่องบินเจ็ตส่วนตัวของนายทักษิณบินมาถึงสิงคโปร์ ตามที่ประกาศไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะเดินทางมาถึงประเทศไทย ก่อนถึงวันตัดสินคดี
สำหรับคดีการรักษาตัวชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ สืบเนื่องจากคำพิพากษาศาลฯ 3 คดีของนายทักษิณ คือ 1.สั่งเอ็กซิมแบงก์ปล่อยกู้ 2.หวยบนดิน และ 3.แก้สัมปทานเอื้อบริษัทชินคอร์ป รวมโทษจำคุก 8 ปี ก่อนได้รับพระราชทานอภัยโทษ เหลือ 1 ปี
หลังจาก นายทักษิณ เดินทางกลับประเทศไทย เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2566 เข้าสู่กระบวนการรับโทษ แต่เข้าไปอยู่ในเรือนจำได้ไม่กี่ชั่วโมง กลับถูกส่งไปรักษาตัวนอกเรือนจำ ที่โรงพยาบาลตำรวจ เป็นระยะเวลา 180 วัน ก่อนได้รับการพักโทษ จนครบกำหนดรับโทษ 1 ปี
สำหรับแนวทางคำสั่งของศาลฎีกาฯ ที่นักวิชาการมองตรงกันว่า จะออกมา 3 แนวทาง คือ
1.ศาลฎีกาฯ พบว่า ไม่มีอะไรผิดปกติ ทำทุกอย่างไปตามกฎหมาย และไม่ได้เจ้าหน้าที่รัฐช่วยเหลือให้นายทักษิณได้รับอภิสิทธิ์ กรมราชทัณฑ์ โรงพยาบาลตำรวจ ปฏิบัติหน้าที่ถูกต้องตามขั้นตอน แต่หลายฝ่ายเชื่อว่าแนวทางนี้เป็นไปได้น้อยมาก
2.ศาลฎีกาฯ มองว่า เป็นกระบวนการบังคับโทษที่ไม่ปกติ มีการช่วยเหลือนายทักษิณ เข้าข่ายปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบของเจ้าหน้าที่รัฐ และมีคำสั่งว่าให้หน่วยงานต้นสังกัดที่เกี่ยวข้องต้องไปดำเนินการสอบสวนเอาผิดทางวินัย และอาญากับเจ้าหน้าที่ต่อไป แนวทางนี้ อาจไม่มีการระบุถึงตัวนายทักษิณว่าต้องรับผิดชอบ หรือรับโทษกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไร ส่วนใครจะขยายผลเอาผิดไปถึงทักษิณ ก็เป็นเรื่องที่จะไปดำเนินการกันต่อไป คำสั่งของศาลฎีกาฯ อาจจะไม่ระบุไว้
3.ศาลฎีกาฯ เห็นว่า “ไม่ได้มีการบังคับโทษจำคุกนายทักษิณ ตามคำพิพากษาของศาลฎีกา” เพราะมีพยานหลักฐานต่าง ๆ จากการไต่สวน พบว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้นหลายขั้นตอน โดยที่นายทักษิณน่าจะมีส่วนรับรู้ และมีส่วนเกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือดังกล่าว ที่ทำให้ตัวเองได้ประโยชน์จากการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบดังกล่าวของเจ้าหน้าที่รัฐ การรับโทษจึงให้เป็นโมฆะ และให้นายทักษิณกลับไปเข้าสู่กระบวนการบังคับโทษใหม่อีกครั้ง พร้อมกับให้มีการสอบสวนลงโทษเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องในการช่วยเหลือนายทักษิณต่อไป
หากผลคำสั่งออกมาใน 2 แนวทางหลังนี้ จะมีเจ้าหน้าที่รัฐจากกรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม, โรงพยาบาลตำรวจ ต้องรับผลกระทบมากถึง 12 คน อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ตามภาพที่ปรากฏอยู่นี้ เช่น นายสหการณ์ เพ็ชรนรินทร์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์, พล.ต.ท.โสภณรัชต์ สิงหจารุ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง นายแพทย์ใหญ่ โรงพยาบาลตำรวจ เป็นต้น