วันนี้ (15 ก.ย. 68) นายทรงศัก สายเชื้อ ผู้ตรวจการแผ่นดิน ชี้แจงกรณีที่มีบุคคลเดินหน้าล่ารายชื่อประชาชน เพื่อยื่นถอดถอน ฐานกระทำผิดจริยธรรมร้ายแรง กรณีคำวินิจฉัย รับรองว่า นายทักษิณ ชินวัตร รักษาตัวชั้น 14 รพ.ตำรวจ ดำเนินการถูกต้องตามกฎหมายนั้น
นายทรงศัก โดยระบุว่า กรณีนายทักษิณ ชินวัตร เข้ารักษาตัวที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจนั้น ขอยืนยันว่า ตนเองไม่ได้รับรอง และไม่รับรอง หรือตัดสินแทนแพทยสภา ไม่เคยรับรองว่า กระบวนการนี้ถูกต้องตามกฏหมาย และขอย้ำว่า ในกระบวนการทำงานและมีคำวินิจฉัยของผู้ตรวจการแผ่นดิน ไม่สามารถตัดสินแทนแพทยสภาได้ เพราะแพทยสภาเป็นองค์กรที่มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายที่จะวินิจฉัย และตัดสินว่า นายทักษิณ ชินวัตร ป่วยจริง หรือป่วยไม่จริง ป่วยวิกฤตหรือไม่อย่างไร
สำหรับเรื่องนี้ เริ่มต้นขึ้นหลังจากเมื่อช่วงเดือน ต.ค.2566 ผู้ตรวจการแผ่นดิน ได้รับร้องเรียนเกี่ยวกับการใช้ดุลพินิจในการวินิจฉัยรักษาโรคของแพทย์ว่า อาจมีการใช้ดุลพินิจที่ไม่เป็นไปตามระเบียบ หรือกฎหมาย และเกี่ยวข้องกับการส่งตัวผู้ต้องขัง ออกมารักษานอกเรือนจำ นั้น สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน ได้แสวงหาข้อเท็จจริง
โดยสอบถามไปทางโรงพยาบาลตำรวจ และกรมราชทัณฑ์ และได้รับการตอบกลับว่า ข้อมูลด้านสุขภาพของผู้ป่วย ถือเป็นความลับและเป็นข้อมูลส่วนบุคคล เนื่องจากเกี่ยมข้องกับ พรบ.หลายฉบับ จึงไม่มีการส่งข้อมูลการป่วยของนายทักษิณ ให้กับทางผู้ตรวจงานแผ่นดิน และ ผู้ตรวจการแผ่นดิน ไม่มีอำนาจทางกฎหมาย ในการสั่งให้เปิดเผยข้อมูลการตรวจรักษาของแพทย์ที่รักษาผู้ป่วยได้ ซึ่งต่างจากศาลที่มีอำนาจกฎหมายในการสั่งให้แพทย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเปิดเผยความเห็นของแพทย์และผลตรวจรักษาได้
และจากเหตุผลที่กล่าวมา ประกอบกับข้อเท็จจริง ณ ขณะนั้น ปรากฏว่า ได้มีการร้องเรียนเรื่องเดียวกันไปที่แพทยสภาโดยตรงแล้ว ผู้ตรวจการแผ่นดินจึงได้มีคำวินิจฉัย เรื่องร้องเรียนนี้ ว่ามีผู้ร้องเรียนในกรณีเดียวกันไปยังแพทยสภาแล้ว ซึ่งแพทยสภาถือว่าเป็นองค์กรวิชาชีพที่มีหน้าที่และอำนาจตามกฎหมายโดยตรงในการตรวจสอบจริยธรรมแห่งวิชาชีพของแพทย์ ผู้ตรวจการแผ่นดิน จึงไม่อาจก้าวล่วงในกรณีนี้ได้
คำวินิจฉัยของผู้ตรวจการแผ่นดิน ทุกเรื่องไม่ปรากฏการรับรองกระบวนการส่งตัวผู้ต้องขังออกมารักษาตัวนอกเรือนจำ และไม่ได้รับรองอาการเจ็บป่วยของนายทักษิณ ชินวัตร แต่อย่างใด อีกทั้งผู้ตรวจการแผ่นดินไม่ได้รับการชี้แจงรายละเอียดเกี่ยวกับข้อมูลด้านสุขภาพของนายทักษิณด้วย
ส่วนประเด็นว่าได้มีการบังคับโทษให้เป็นไปตามหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดของศาลหรือไม่นั้น เป็นอำนาจการไต่สวนและการตรวจสอบของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งเป็นไปตามข้อกำหนดเกี่ยวกับการดำเนินคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ดังนั้น เรื่องการบังคับโทษ จึงไม่ได้อยู่ในอำนาจหน้าที่ของผู้ตรวจการแผ่นดินแต่อย่างใด
ส่วนประเด็นที่ว่ามีคณะผู้ตรวจการแผ่นดิน ไปที่ชั้น 14 รพ.ตำรวจนั้น นายทรงศัก ระบุว่า เพื่อต้องการไปดูสภาพของชั้น 14 เนื่องจากมีเรื่องร้องเรียนด้วยว่า นายทักษิณ อยู่ที่โรงพยาบาลจริงหรือไม่ อีกทั้งวันนั้น เจ้าหน้าที่ได้ไปประชุมหารือกับกรมราชทัณฑ์ โรงพยาบาลตำรวจ โรงพยาบาลราชทัณฑ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เมื่อประชุมเสร็จแล้ว คณะผู้ตรวจการแผ่นดิน จึงขอขึ้นไปตรวจที่ชั้น 14 หลังจากพบว่ามีเจ้าหน้าที่รวมทั้งผู้ต้องขัง คือ นายทักษิณ อยู่ในห้องจริง โดยนอนอยู่บนเตียง แต่เจ้าหน้าที่ไม่ได้มีการพูดคุยกับนายทักษิณ แต่อย่างใด จึงได้รายงานว่า นายทักษิณ อยู่ที่โรงพยาบาลจริง นายทรงศัก ย้ำว่า ข้อสงสัยทุกอย่าง ชัดเจนและสามารถอธิบายได้
ส่วนกรณีนางวิรังรอง ทัพพะรังสี ประธารเครือข่ายมหาวิทยาลัยเพื่อการปฏิรูปประเทศ เชิญชวนให้ร่วมลงชื่อยื่นถอดถอนตนเองฐานกระทำความผิดจริยธรรมร้ายแรงนั้น นายทรงศัก เปิดเผยว่าได้ทำหนังสือชี้แจงไปยังนางวิรังรอง แล้วเมื่อเดือนพฤษภาคม ที่ผ่านมา จึงไม่ทราบว่าความเข้าใจผิดเกิดจากเรื่องใด แต่ทั้งนี้น้อมรับและพร้อมให้ตรวจสอบ และจะประเมินสถานการณ์อีกครั้งว่าจะดำเนินการฟ้องร้องตามกฎหมายหรือไม่
นายทรงศัก ยืนยันว่า สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน เป็นองค์กรทำหน้าที่เพื่อประโยชน์สาธารณะ ไม่เอื้อประโยชน์ต่อบุคคลใด พร้อมมุ่งมั่นทำงานอย่างอิสระ และรักษามาตรฐานความน่าเชื่อถือขององค์กร เพื่อคุ้มครองสิทธิและความเป็นธรรมของประชาชน