วันนี้ (19 ก.ย. 68) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า งานวิจัยใหม่ที่สนับสนุนโดยสถาบันสุขภาพแห่งชาติสหรัฐฯ (NIH) ระบุว่าการกระทบกระเทือนที่หัวซ้ำ ๆ จากกีฬาประเภทที่มีการปะทะ อาจกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสมองของนักกีฬาวัยหนุ่มสาวถึงวัยกลางคนได้ตั้งแต่ระยะแรกเริ่มและคงอยู่ยาวนาน
ซึ่งอาจเกิดขึ้นก่อนมีการแสดงออกของโรคสมองจากการบาดเจ็บเรื้อรัง (CTE) นานหลายปี โดยปัจจุบันสามารถตรวจยืนยันโรคนี้ได้จากการตรวจชิ้นเนื้อสมองหลังเสียชีวิตเท่านั้น
ทีมนักวิทยาศาสตร์จากศูนย์โรคสมองจากการบาดเจ็บเรื้อรังของมหาวิทยาลัยบอสตัน ร่วมกับระบบการแพทย์บอสตัน สังกัดกระทรวงกิจการทหารผ่านศึก และสถาบันพันธมิตร ดำเนินการวิเคราะห์ชิ้นเนื้อสมองหลังเสียชีวิตจากนักกีฬาที่อายุต่ำกว่า 51 ปี ซึ่งส่วนใหญ่เคยเล่นกีฬาอเมริกันฟุตบอล
โดยใช้เครื่องมือขั้นสูงเพื่อติดตามการทำงานของยีนและสร้างภาพความละเอียดสูงของเซลล์สมองแต่ละเซลล์ และพบการเปลี่ยนแปลงในสมองหลายรูปแบบ อาทิ การสะสมที่ผิดปกติของโปรตีนเทา (tau) ในเซลล์ประสาทใกล้เส้นเลือดฝอยลึกในรอยพับของสมอง นอกเหนือไปจากลักษณะโมเลกุลที่เป็นที่รู้จักกันดีของโรคสมองดังกล่าว
วอลเตอร์ โคโรเชตซ์ ผู้อำนวยการสถาบันแห่งชาติด้านความผิดปกติทางระบบประสาทและโรคหลอดเลือดสมอง สังกัดสถาบันสุขภาพฯ ระบุว่าการศึกษานี้ตอกย้ำว่ามีการเปลี่ยนแปลงในสมองมากมายที่เกิดขึ้นหลังจากเกิดการกระทบกระเทือนที่ศีรษะซ้ำๆ โดยการเปลี่ยนแปลงของสมองในระยะแรกเหล่านี้อาจช่วยในการวินิจฉัยและรักษาโรคสมองจากการบาดเจ็บเรื้อรังได้เร็วกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
สถาบันสุขภาพฯ ระบุว่าการเปิดเผยสัญญาณเตือนในระดับเซลล์ตั้งแต่ระยะเริ่มต้นนี้ ช่วยปูทางสู่การพัฒนาวิธีใหม่ในการตรวจหาผลกระทบจากการบาดเจ็บที่ศีรษะซ้ำๆ และอาจนำสู่แนวทางป้องกันอาการความเสื่อมของระบบประสาทและสมองที่รุนแรงจากโรคสมองดังกล่าวได้ในที่สุด