เวลา 12.35 น. วันนี้ สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี เสด็จออก ณ ที่ประทับชั้น 10 อาคารอัครราชกุมารี โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ ทรงบรรยาย ในรายวิชา Oncogenesis การเกิดโรคมะเร็ง พระราชทานแก่นักศึกษาแพทย์ ชั้นปีที่ 3 คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ประจำปีการศึกษา 2568 ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ครั้งที่ 4
โดยในวันนี้ ทรงบรรยายหัวข้อ "กลไกการเกิดพยาธิสภาพของมะเร็งในระดับโมเลกุลและระดับเซลล์ : กุญแจไปสู่การรักษาในอนาคต" ซึ่งปัจจุบันมีการใช้เทคนิคการตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงและแสดงออกของยีนต่าง ๆ ในผู้ป่วยแต่ละราย ทำให้แยกความแตกต่างของมะเร็งแต่ละชนิดในระดับยีนได้ ส่งผลให้การพยากรณ์โรคมีความแม่นยำขึ้น ทรงยกตัวอย่างเรื่องการพัฒนายา Gleevec ในการรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดชนิดเรื้อรัง ซึ่งเป็นยาตัวแรกที่พิสูจน์ให้เห็นความสำเร็จของหลักการรักษามะเร็งแบบมุ่งเป้า ซึ่งจะนำไปสู่ความก้าวหน้าทางการแพทย์ด้านมะเร็งในอนาคต
ส่วนการรักษาโรคมะเร็งชนิดเซลล์บำบัด ทรงยกตัวอย่าง การรักษาแนวใหม่ในผู้ป่วยมะเร็งทางระบบเลือดด้วยเซลล์บำบัด ที่อาศัยหลักการทางภูมิคุ้มกัน จนได้นวัตกรรม "คาร์-ที-เซลล์" ซึ่งพบว่าได้ผลดีในผู้ป่วยมะเร็งทางระบบเลือดที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาใด ๆ สูงถึงร้อยละ 50-80 ได้รับการยอมรับจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา และปัจจุบันมีการค้นคว้าหาแนวทางการเพิ่มประสิทธิภาพการรักษา และกระบวนการยับยั้งการเกิดผลข้างเคียง เพื่อให้ผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษมีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น
และเรื่องอนาคตของการรักษาโรคมะเร็งด้วยเทคโนโลยีตัดต่อยีนที่เรียกว่า CRISPR/Cas9 ซึ่งสามารถแก้ไขรหัสพันธุกรรมในตำแหน่งที่ต้องการได้อย่างแม่นยำ จากการศึกษาทางคลินิกพบว่า มีศักยภาพสูง สามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการรักษาโรคมะเร็งหลายชนิด โดยเฉพาะในผู้ป่วยมะเร็งชนิดดื้อต่อการรักษา แต่การนำมาใช้จริงยังต้องผ่านการศึกษาและตรวจสอบความปลอดภัยอย่างละเอียด เพื่อให้มั่นใจว่าเป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยโดยไม่ก่อให้เกิดผลเสียในระยะยาว
องค์ความรู้เรื่อง Oncogenesis ที่ทรงบรรยายทั้ง 4 ครั้ง ได้สร้างความรู้ความเข้าใจตั้งแต่พื้นฐานการเกิดโรค กลไกการเกิดพยาธิสภาพของมะเร็ง ที่จะนำไปสู่การพัฒนาวิธีการวินิจฉัยโรคมะเร็ง ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น จนถึงการพัฒนายาที่มีคุณสมบัติเฉพาะเพื่อนำไปสู่การรักษาแบบมุ่งเป้า ซึ่งเป็นความหวังที่จะทำให้การรักษามีประสิทธิภาพที่ดีขึ้นกว่าเดิม ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอายุยืนยาว มีโอกาสหายขาดจากโรค และกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุข