สว.หมอวี เปิดข้อมูล ปัญหา สปสช. ไม่ใช่เรื่องไกลตัว ไม่ใช่แค่เงินของ รพ. ติดลบ แต่กระทบสิทธิคนไข้ทุกคนเดือดร้อนกันแล้ว ไป รพ.ไกลขึ้น ได้ยาน้อยลง ยาถูกเปลี่ยน ลดการรักษา
ปัญหา สปสช. วันนี้ (20 ต.ค.68) นพ.วีระพันธ์ สุวรรณนามัย รองประธานกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา ใช้พื้นที่เฟซบุ๊กส่วนตัวอธิบายให้ประชาชนตระหนักถึงปัญหาระหว่าง สปสช. กับ รพ. ซึ่งไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่ทุกคนจะเดือดร้อน ไป รพ.ไกลขึ้นไหม ยาลดลงไหม ยาถูกเปลี่ยนหรือยัง การลดการรักษาเกิดขึ้นจริงแล้ว เดือดร้อนกันแล้ว สปสช. ทำอะไร ทำไมโรงพยาบาลโวยวาย และทุกคนจะเดือดร้อน ซึ่งอ่านแล้วเข้าใจทั้งหมด และขอให้ทุกคนช่วยกันแชร์เพื่อรักษาสิทธิของเรา เพราะท่านและครอบครัวจะเดือดร้อน
หมอวีระพันธ์ เริ่มต้นอธิบานถึง สปสช. เป็นหน่วยงานที่ตั้งขึ้นตามกฎหมาย ซึ่งไม่ได้มีหน้าที่บริการอะไรประชาชน แต่เป็นหน่วยงานที่รับงบประมาณ มาแล้วไปซื้อบริการให้โรงพยาบาลต่าง ๆ ทั้งรัฐและเอกชนไปบริการประชาชน ว่าง่าย ๆ ก็คือ เป็นคนกลางจ่ายเงินให้ประชาชน
ปัญหาคือ คนกลางไม่จ่ายเงินตามที่ตกลงกันไว้ให้ รพ.ทั้งประเทศ และจ่ายช้า จะจ่ายเมื่อไหร่ก็ได้ ระหว่างที่รอจ่าย จะมีการปรับกฎเกณฑ์วิธีคำนวณการจ่ายเองโดยไม่แจ้ง รพ. ก่อน และสุดท้าย รพ. ก็จะได้เงินไม่ครบตามที่ขึ้นบัญชีรอเงินไว้ ทำให้เป็นเรื่องราวอย่างที่ทุกคนได้ทราบตามข่าว (สปสช. โต้หมอวีระพันธ์ ตัวเลขไม่ตรงกับความเป็นจริง!) ซึ่งมันจริงไม่ได้เลย เพราะท่านคิดวิธีคำนวณเงินใหม่)
หมอวีระพันธ์ อธิบายวิธีการทำงานของ สปสช. โดยยกตัวอย่างกองผู้ป่วยใน IP กองนี้เป็นกองที่มีปัญหามากที่สุดกองหนึ่ง (จริง ๆ มีปัญหาเกือบทุกกอง อย่างของ หมอเหรียญทอง แน่นหนา ก็โดนอีกแบบหนึ่ง) สมมติตัวเลขง่าย ๆ ต้นปีงบประมาณกำหนดว่า หากผู้ป่วยใน admit ด้วยโรคนี้จะให้ 80 บาท (จริง ๆ เขากำหนดเป็นหน่วยที่เรียก AdjRW) สปสช. ก็เคยให้ข้อมูลกับกรรมาธิการที่ผมเรียกเข้าให้การ ว่า ต้นทุน คือ 130 บาท (สปสช. ยืนยันว่าเคยวิจัยไว้เอง) ตัวเลขนี้หลายคนคงเริ่มเข้าใจแล้ว ว่ายิ่ง รพ. รักษาคนไข้มากเท่าไหร่ ยิ่งบริหารเงินยากขึ้น เพราะทุกครั้งที่รักษาต้องเอาเงินกองอื่นมา เช่น เงินบำรุง เอามาจ่ายแทนทันที 130-80 = 50 บาท
ซึ่งยังไม่จบแค่นั้น ต้นปีงบประมาณ สปสช. ยังจ่ายให้ รพ. 80 บาทตามสัญญา สมมติจ่ายไป 10 เดือนแล้ว พอปลายปีงบประมาณ เงินตัวเองหมด ก็ออกประกาศใหม่ ว่าเงินของเราเป็น Global budget ตอนนี้เหลือน้อย ขอลดจาก 80 เหลือ 70 โดยไม่มีการแจ้งล่วงหน้า หลายคนเริ่มตกใจว่าทำอย่างนี้ได้หรือ นั่นเป็นคำถามเดียวกับที่ รพ.ถาม
ยังไม่ peak คงจะนึกว่า สปสช. จ่าย 70 บาท 2 เดือนหลังสุด คือที่ให้ไป 10 เดือนแรก เดือนละ 80 บาทก็แล้ว ๆ กันไป แต่ 2 เดือนท้าย ให้ 70 บาท ซึ่งไม่ใช่ ที่จ่าย 80 บาท 10 เดือน โดนคิดใหม่ว่าจะให้แค่ 70 บาทด้วย แปลว่า 10 เดือนที่ผ่านมา สปสช. จะเรียกคืน เดือนละ 10 บาท คือคิดเลขง่าย ๆ 10 บาท 10 เดือน คืนมา 100 บาทก่อน แล้วเดี๋ยวจะให้ 70 บาท 2 เดือนหลัง คือ 140 บาท 2 เดือนสุดท้าย หักหนี้จาก 80 x 2 เดือนสุดท้าย 160 บาท เหลือจ่าย 40 บาท (140-100)
“นอกจากนี้ ยังมีการสุ่มตรวจเวชระเบียน หากแพทย์เขียนไม่ครบ เขียนขาด หักแต้ม เรียกเงินคืน สมมติว่าเรียกคืน 80 บาท รพ.จากที่เป็นเจ้าหนี้ 2 เดือนสุดท้ายได้ 160 บาทแน่ ๆ กลายเป็นลูกหนี้ สปสช. 40 บาท อันนี้คิดแค่คนไข้ 1 คนต่อหน่วย ถ้าล้านคนก็คูณล้าน จากเป็นเจ้าหนี้ 160 ล้าน กลายเป็นลูกหนี้ 40 ล้าน รักษาคนไข้ไปแล้ว จ่ายค่ายาไปแล้ว บุคลากรจ่ายเงินให้แล้ว รอเงินคืนจาก สปสช. ที่ไหนได้กลายเป็นติดหนี้ซ้ำ
หมอวีระพันธ์ บอกด้วยว่า ที่ยกตัวเลขง่าย ๆ นี้คือ IP กองเดียว ยังมี OP, PP, OP refer, fee schedule, point system อะไรที่เตรียมหักไว้อีก หลายคนถามต่อ ว่าแล้วเกี่ยวอะไร ก็แค่หน่วยงานรัฐทะเลาะกัน แต่ รพ. ถือเป็นหน่วยหนึ่งที่บริหารเงินเอง เป็นของรัฐก็จริง แต่การสั่งซื้อยา เวชภัณฑ์ ซื้อเครื่องมือใหม่ ซ่อมบำรุง จ่ายค่านอกเวลาบุคลากร ต้องบริหารเอง ไม่ใช่ส่วนกลางส่งเงินมาจ่ายให้
ปัญหากับบุคลากร : รพ. จำเป็นต้องดูแลคนไข้เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะฉะนั้นคนแรกที่ได้รับผลกระทบคือ บุคลากร เขาโดนชะลอจ่ายเงินค่าล่วงเวลา, P4P และเงินที่ควรได้อื่น ๆ ตอนแรกชะลอจ่าย ถ้า รพ.เงินหมดจริง ผอ. จะขอบุคลากรดื้อ ๆ เลยว่า ขอจ่าย 80% ได้ไหม ถ้ามีเงินเข้า ถ้าไม่มีก็ตัดศูนย์ไป บุคลากรทำงานอย่างหนัก เลี้ยงดูพ่อแม่ มีครอบครัว ก็ขาดเงินส่วนนี้ไป งดอบรมเพิ่มพูนความรู้ใหม่ ๆ และอีกมากมาย
“สิ่งที่ผมกลัวที่สุดคือ วันหนึ่งบุคลการที่เหนื่อยล้า และถึงเวลาได้รับค่าตอบแทนกลับไม่ได้รับ จนถึงจุดที่ทนไม่ไหว เหมือนที่เกิดขึ้นแล้วในหลาย ๆ ประเทศ คิดภาพ หมอ พยาบาล บุคลากร นัดหยุดงานพร้อมกันเพราะไม่ได้รับความเป็นธรรม คนเจ็บไข้ได้ป่วยจะเดือดร้อนขนาดไหน (ไม่อยากให้เกิดขึ้นเลย และคงไม่เกิดขึ้นเพราะบุคลากรของเราใจดี เสียสละมาก) หมอวีระพันธ์ ระบุ
ปัญหากับคนเจ็บไข้ : หลายท่านอาจโดนแล้ว เนื่องจากเงินหมุนเวียนใช้ใน รพ.ไม่เหลือ ติดลบกันหมดแล้ว
1. รู้สึกไหม ไปรักษาไกลขึ้น เพราะหน่วยบริการหลายแห่งทนแบกภาระไม่ไหว หยุดให้บริการ (โดยเฉพาะใน กทม) บ้านอยู่หลักสี่ ไปหาหมอสีลม ลูกหลานต้องพาไป ถ้าต้อง admit ต้องไปเยี่ยมอีก เดือดร้อนไหม
2. ได้ยาน้อยลง ตอน รพ.มีเงินหมุนเวียน ได้ยาทีละ 3 เดือน ตอนนี้ได้แค่ 1 เดือน หรือบางคนบอกได้แค่ 1 สัปดาห์ก็มี เพราะต้องทยอยมา รพ.ก็กรอบเหมือนกัน
3. ยาหลายอย่างที่เคยได้ ไม่ได้แล้ว ยาดี ๆ นอกบัญชีที่มี Efficacy สูงกว่า รพ.ไม่มีเงินสั่งให้แล้ว ยกตัวอย่าง ยาโรคกระเพาะ ที่เคยได้ยาดี กลายเป็นยา Local กันเกือบหมดแล้ว
4. ประสิทธิภาพการรักษาลดลง อันนี้ละเอียดอ่อนและกระทบคนไข้มาก เอาตัวอย่างสั้น ๆ เช่น คนเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบเข้าห้องฉุกเฉิน หมอสวนหัวใจดูแล้ว ตีบ 3 เส้น แต่หมอรักษาให้ท่านทั้ง 3 เส้นไม่ได้ จะเบิกไม่ได้ ต้องตัดสินใจว่าเส้นไหนคือปัญหาครั้งนี้ และรักษาเส้นนั้นก่อน ส่วนอีก 2 เส้น รอท่านเกิดอาการเฉียดตายอีกครั้งถึงจะรักษาแล้วเบิกเงินคืนจาก สปสช. ได้ ถ้าหมอฝืนทำไปโอกาสไม่ได้เงินสูงมาก
ยังมีเรื่องอื่น ๆ ที่กระทบสิทธิ์คนไข้อีก แต่วันนี้ขอเล่าแค่นี้ก่อน เดี๋ยวจะตกใจป่วยกันหมด ผมฝากแชร์ความจริงนี้ให้ทุกคนในประเทศได้รู้ อย่ามองเรื่อง สปสช. กับ รพ. เป็นเรื่องไกลตัว เพราะมันใกล้ตัวกับชีวิตของเราเองและญาติของเราเป็นอย่างยิ่ง