กว่า 5 ปี ที่แม่รอคอย ร่างนายสนธยา อัครศรี แรงงานไทยที่อิสราเอล กลับถึงบ้านแล้วกลางดึกที่ผ่านมา ท่ามกลางความเศร้าโศกของครอบครัว แม่เผย ก่อนนี้ยังหวังลึกๆ ว่าลูกอาจจะมีชีวิตอยู่
เมื่อวันที่ 24 ตุลาคม 2568 ที่ บ้านเลขที่ 67 หมู่ที่ 3 บ้านโคกม่วย ต.บ้านพร้าว อ.เมือง จ.หนองบัวลำภู ซึ่งเป็นบ้านของ นายสนธยา อัครศรี หรือ น้องมอส แรงงานไทยที่เสียชีวิตจากการสู้รบอิสราเอลกับกลุ่มฮามาส ตั้งแต่เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2566 ที่ผ่านมา เป็น หนึ่งในสองแรงงานที่เหลืออยู่และจะได้รับการส่งร่างกลับมาบ้าน ตามข้อตกลงสันติภาพระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาส เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2568 ที่ผ่านมา โดยกลุ่มฮามาสได้เริ่มส่งคืนร่างผู้เสียชีวิตที่เหลือจากฉนวนกาซา และ นายสนธยา อัครศรี เป็นหนึ่งในร่างของผู้เสียชีวิตที่จะได้รับการส่งกลับ
โดยบ้านของนายสมธยา ซึ่งที่บ้านได้มี เจ้าหน้าที่ 5 เสือ จาก กระทรวงแรงงาน ลงพื้นที่ ซึ่งประกอบด้วย นายสมศักดิ์ เพ็งธรรม แรงงานจังหวัดหนองบัวลำภู นางสาวเสาวลักษณ์ อาภรณ์รัตนานนท์ สวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจังหวัดหนองบัวลำภู นางสาวเขมจิรา ภูวะศรี ตำแหน่งนักวิชาการแรงงานชำนาญการพิเศษ รักษาราชการแทนจัดหางานจังหวัดหนองบัวลำภู นางสาวสิริรัช ธรรมตะคุ นักวิชาการแรงงานชำนาญการ ผู้แทนสำนักงานประกันสังคมจังหวัดหนองบัวลำภู นายธีร์ ศรีอาษา ผอ.สำนักงานพัฒนาฝีมือแรงงานพร้อมด้วย นางอมร อัครศรี ผู้เป็นแม่ นายนิพนธ์ อัครศรี ผู้เป็นพ่อ น้องมุก ลูกสาวอายุ 9 ขวบเรียนอยู่ชั้น ป. 3 นายวีระเดช อัครศรี น้องชาย และ นายมนัส ไกรยวงษ์ ผู้ใหญ่บ้าน พร้อมด้วยญาติพี่น้อง เพื่อนบ้านได้มาอยู่เป็นเพื่อนของ พ่อกับแม่ ในการรอรับร่างของผู้เสียชีวิต ซึ่ง มาถึงบ้านเมื่อเวลา 24.00 น. วันที่ 23 ตุลาคม 2568
โดยเมื่อรถของบริษัทสุริยาหีบศพ มาถึงบ้าน พ่อแม่ลูกสาว น้องชายญาติพี่น้อง เพื่อนบ้านและเจ้าหน้าที่ 5 เสือกระทรวงแรงงานได้ตั้งแถวรับร่าง ของ นายสนธยา อัครศรี เข้าสู่บ้าน พ่อแม่ ลูกสาว น้องชาย ร่วมกันจุดธูปให้กับผู้เสียชีวิต จัดแต่งอาหารใส่ถาดให้กับผู้เสียชีวิตตามประเพณีของชาวอีสานที่เรียกว่าพาข้าวน้อย
นางอมร อัครศรี ผู้เป็นแม่ของ นายสนธยา อัครศรี กล่าวว่า ตั้งแต่รู้ข่าวว่าจะได้ลูกชายกลับมานอนไม่หลับ คืนนี้ก็เหมือนกันทั้งตัวเองและสามีก็ไม่นอนเลย ตั้งตารอคอยการนำร่างของลูกชายกลับมา ซึ่งก็ได้บอกกับลูกชายว่า ได้กลับมาถึงบ้านเรือนของเราแล้ว ไม่ต้องห่วงอะไร ไม่ต้องห่วงพ่อ ห่วงแม่ ไม่ต้องห่วงลูกสาว ปู่กับย่าจะเลี้ยงดูให้ดีเหมือนกับเป็นลูกคนหนึ่ง ขอให้ไปสู่สวรรค์หากชาติหน้ามีจริงก็ขอให้ได้มาเกิดร่วมกัน ซึ่งการไปของลูกครั้งนี้ ถ้ารู้ว่าลูกจะได้กลับมาสภาพแบบนอนอย่างนี้ แม่ก็คงไม่ให้ไป เป็นเวลา 7 ปีกว่าที่รอคอยที่ลูกชายไปทำงานได้ 5 ปี 3 เดือน วันเกิดเหตุลูกชายไปขออาหารเป็ดมาให้เพื่อนไว้เลี้ยงเป็ด เพราะตัวเองจะกลับบ้านแล้วจะให้เพื่อนเลี้ยงต่อ ช่วงนั้นรอวีซ่าที่จะเดินทางกลับ เพราะครบกำหนดแล้ว แต่ก็เป็นห่วงเป็ดที่เลี้ยงไว้เมื่อกลับมาแล้วจะไม่มีอาหาร แต่ก็มาเกิดเหตุเสียก่อน โดยตอนเกิดเหตุลูกชายได้คุยกับลูกสาวเป็นครั้งสุดท้าย
นอกจากนั้น นางอมร และนายนิพนธ์ อัครศรี ยังได้ยกมือไหว้ขอบคุณหน่วยงานต่างๆ ที่ได้ให้การช่วยเหลือ รู้สึกซาบซึ้งเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะกระทรวงแรงงานที่ติดตามเรื่องนี้ให้ตลอด ถ้าอย่างนั้นตนเองก็คงไม่รู้ว่าจะไปทำอย่างไร ขอบคุณทุกคนที่มาคอยดูแลช่วยเหลือ ส่วนการจัดการศพนั้น จะทำการสวดอภิธรรม 3 คืน และจะทำการฌาปนกิจที่วัดป่าธรรมเจดีย์ ในวันที่ 27 ตุลาคม 2568 จากนั้นก็จะทำบุญตักบาตรอุทิศส่วนกุศลให้เลย เพราะเมื่อปีที่แล้ว ตนเองก็ได้ทำบุญกฐินหาผู้ตายไปแล้วครั้งหนึ่ง จะได้หมดห่วงเพราะก่อนนี้แม้ว่าจะได้รับแจ้ง ได้ใบมรณะบัตรแสดงถึงการเสียชีวิต แต่ไม่ได้เห็นร่างของลูกชายก็ยังหวังลึกๆ ว่า ลูกชายอาจจะมีชีวิตอยู่ แต่เมื่อได้รับร่างก็คงหมดหวัง กับการรอคอยที่ไปทำงาน 5 ปี 3 เดือน กำลังจะเดินทางกลับ และมาเกิดเหตุถูกจับเป็นตัวประกันจนทราบว่าเสียชีวิตอีกเป็นเวลา 2 ปี รวมแล้วก็ 7 ปี 3 เดือนที่กว่าจะได้กลับมาแต่ก็เป็นเพียงร่าง ซึ่งผู้เป็นแม่เล่าด้วยน้ำเสียงเศร้า ๆ บางครั้งก็เช็ดน้ำตา
ส่วนพ่อก็บอกว่า เหตุการณ์อย่างนี้หากไม่เกิดขึ้นกับใคร ก็คงไม่รู้หรอกว่ามันเจ็บปวด ตั้งแต่รู้ข่าวลูกก็กินข้าวไม่ได้ มันจุกในอก เมื่อคิดถึงลูก สำหรับลูกคนนี้ ถือว่าเป็นเสาหลักของครอบครัว ตั้งแต่ไปทำงานส่งเงินกลับมาให้ แม่กับพ่อตลอด เดือนละ 30,000-50,000 บาท จึงเป็นการสูญเสียความหวังของครัวไป
ส่วนทางด้าน นายสมศักดิ์ เพ็งธรรม แรงงานจังหวัดหนองบัวลำภู พร้อมด้วยคณะ 5 เสือ ของกระทรวงแรงงานก็มาร่วมรับร่างและในการสวดอภิธรรมนั้น ในคืนแรก คือ วันที่ 24 ตุลาคม 2568 นี้ ทางกระทรวงแรงงานจะเป็นเจ้าภาพในการสวดอภิธรรมเป็นคืนแรก และได้สอบถามกับทางครอบครัวถึงเงินชดเชยต่างๆ ทางครอบครัวบอกว่า ได้รับการประสานติดต่ออำนวยความสะดวกอย่างดี ไม่มีปัญหาในเรื่องนี้ ซึ่งหากยังขาดอะไร ทาง 5 เสือของ กระทรวงแรงงานก็พร้อมที่จะติดตามช่วยเหลือให้ต่อไป