ป.ป.ช. รับไต่สวน "เศรษฐา-ครม." โยกงบ 3.5 หมื่นล้าน แจกเงินหมื่น หวังผลคะแนนนิยมทางการเมือง เข้าข่ายผิด ม.157 ส่วน “ครม.อิ๊งค์” รอด ชี้ ยังไม่เข้ารับตำแหน่งช่วงเกิดเหตุ
วันนี้ (31 ต.ค.68) นายสุรพงษ์ อินทรถาวร รองเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) รักษาราชการแทนเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะโฆษกสำนักงาน ป.ป.ช. เผยถึงกรณีกล่าวหา นายเศรษฐา ทวีสิน เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี กับพวก ร่วมกันแปรญัตติในทางลดหรือตัดทอนงบประมาณรายจ่ายสำหรับเงินส่งใช้ต้นเงินกู้ ดอกเบี้ยเงินกู้ และรายจ่ายตามข้อผูกพันที่กฎหมายกำหนดให้จ่าย รวมถึงการเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อมในการใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568
จากการสอบสวนปรากฏข้อเท็จจริง ดังนี้ ข้อกล่าวหาที่ 1 กรณีกล่าวหาว่านายเศรษฐา กับพวก ร่วมกันแปรญัตติในทางลดหรือตัดทอนงบประมาณรายจ่ายของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ (SFIs) จำนวน 5 แห่ง วงเงินรวม 35,000 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นเงินส่งใช้ต้นเงินกู้ ดอกเบี้ยเงินกู้ และรายจ่ายตามข้อผูกพันที่กำหนดให้จ่ายตามกฎหมาย อันเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคหนึ่ง (1) (2) (3)
รับฟังได้ว่า สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ (SFIs) ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจในสังกัดกระทรวงการคลัง 5 แห่ง ได้แก่ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.) หรือ EXIM Bank ธนาคารออมสิน ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ได้พิจารณาเสนอปรับลดงบประมาณของตนเองลง ตามแนวทางที่ได้มีการประชุมหารือร่วมกันระหว่างสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง และสำนักงบประมาณ รวมวงเงินงบประมาณที่ถูกปรับลด เป็นเงินจำนวนทั้งสิ้น 35,000 ล้านบาท แล้วนำไปเพิ่มเป็นรายจ่ายงบกลาง เพื่อนำไปใช้ในโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจตามนโยบายของรัฐบาล (หรือโครงการเติมเงิน 10,000) โดยมิได้เกิดจากฝ่ายของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ เป็นผู้เสนอขอแปรญัตติเองตามระเบียบหรือข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อปรับลด ตัดทอน หรือเปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ (SFIs) แต่อย่างใด
ดังนั้น จึงไม่มีการแปรญัตติของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ อันเป็นองค์ประกอบความผิดตามรัฐธรรมนูญ คดีจึงไม่มีมูลเป็นความผิดฐานฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคหนึ่ง (3) ตามที่มีการกล่าวหา นอกจากนั้น ศาลรัฐธรรมนูญยังเคยมีคำวินิจฉัยว่า การยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาวินิจฉัยตามรัฐธธรรมนูญ มาตรา 144 วรรคสาม ต้องอยู่ในระหว่างการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณของสภาผู้แทนราษฎร หรือวุฒิสภา หากร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณดังกล่าวได้รับการพิจารณาเสร็จสิ้น และเป็นกฎหมายใช้บังคับแล้ว ย่อมไม่เข้าหลักเกณฑ์หรือเงื่อนไขที่จะเสนอเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญได้ คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงไม่มีกรณีต้องเสนอความเห็นต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาดำเนินการต่อไป จึงมีมติให้ยุติการสอบสวนทางลับ ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561
อย่างไรก็ดี เมื่อปรากฏข้อเท็จจริงจากการสอบสวนว่า นายเศรษฐา และคณะรัฐมนตรี ได้มอบนโยบายหรือมีมติสั่งการให้สำนักงบประมาณ (สงป.) ร่วมกับสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ไปดำเนินการให้สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ (SFIs) จำนวน 5 แห่ง พิจารณาทบทวนงบประมาณรายจ่ายที่ได้ตั้งคำขอไว้ โดยให้เสนอปรับลดงบประมาณของตนเองลงเพื่อเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณดังกล่าวไปเป็นค่าใช้จ่ายในโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจตามนโยบายของรัฐบาล และต่อมาคณะรัฐมนตรีในคราวประชุมเมื่อวันที่ 13 ส.ค.67 ได้มีมติเห็นชอบกับการเสนอขอเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ตามที่สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ (SFIs) เสนอ โดยมีการปรับลดงบประมาณของสถาบันการเงินทั้ง 5 แห่ง วงเงินรวม 35,000 ล้านบาท แล้วนำไปเพิ่มเป็นรายจ่ายงบกลาง เพื่อนำไปใช้ในโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจตามนโยบายของรัฐบาล
จนกระทั่งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ได้มีมติเสียงข้างมากเห็นชอบให้เปลี่ยนแปลงงบประมาณรายจ่ายดังกล่าว ทั้งที่งบประมาณรายจ่ายที่สถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ (SFIs) ทั้ง 5 แห่ง ตั้งคำขอรับการจัดสรรจากรัฐบาลดังกล่าว มีสถานะเป็นภาระทางการเงินเพื่อชดเชยต้นทุนทางการเงินและการบริหารจัดการ รวมทั้งความเสียหายจากการดำเนินกิจกรรม มาตรการ หรือโครงการของรัฐตามมาตรา 28 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 และมาตรา 28 แห่งพระราชบัญญัติการพัฒนาการกำกับดูแลและบริหารรัฐวิสาหกิจ พ.ศ. 2562 ที่รัฐบาลจะต้องตั้งงบประมาณรายจ่ายให้แก่รัฐวิสาหกิจหรือหน่วยงานของรัฐนั้น ในโอกาสแรกที่สามารถกระทำได้ ตามมาตรา 20 (5) แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561
แต่รัฐบาลของนายเศรษฐากลับดำเนินการปรับลดหรือเปลี่ยนแปลงงบประมาณในส่วนของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ (SFIs) ทั้ง 5 แห่งลง โดยไม่ได้ตั้งงบประมาณชดเชยให้ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ดังนั้น การกระทำของนายเศรษฐา ทวีสิน เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี และเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องกับการเสนอขอปรับลดหรือเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐทั้ง 5 แห่ง วงเงินรวม 35,000 ล้านบาท จึงเข้าข่ายเป็นการร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบด้วยพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 มาตรา 9 และมาตรา 20 วรรคแรก (5) โดยมีเจตนาที่จะนำงบประมาณรายจ่ายดังกล่าวไปใช้ในโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ตามนโยบายของพรรคเพื่อไทยที่ได้ประกาศหาเสียงไว้ เพื่อมุ่งสร้างความนิยมทางการเมืองจนอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อระบบการเงินการคลังของประเทศ ซึ่งอาจมีมูลเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 172
คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงมีมติเป็นเอกฉันท์ให้รับเรื่องไว้ดำเนินการไต่สวน ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 โดยให้ดำเนินการไต่สวนบุคคลหรือคณะบุคคล ดังนี้
1. นายเศรษฐา ทวีสิน เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
2. คณะรัฐมนตรีในรัฐบาลของนายเศรษฐา ทวีสิน ที่เข้าร่วมประชุมและมีมติเห็นชอบกับการเสนอขอปรับลดหรือเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ในคราวประชุมเมื่อวันที่ 13 ส.ค.67
3. นายพรชัย ฐีระเวช ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง และนายกรณินทร์ กาญจโนมัย รองผู้อำนวยการสำนักงบประมาณ ในฐานะที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเสนอขอปรับลด หรือเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐจำนวน 5 แห่ง วงเงินรวม 35,000 ล้านบาท
ส่วนผู้ถูกร้องรายอื่น คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติดังนี้ 1.น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรีในรัฐบาลของน.ส.แพทองธาร มีมติเป็นเอกฉันท์ไม่รับเรื่องไว้ไต่สวน เนื่องจากขณะนั้นยังไม่ได้เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จึงไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการแปรญัตติปรับลดงบประมาณ
2.คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ปี 2568 ป.ป.ช. เสียงข้างมาก 5 ต่อ 2 ไม่รับเรื่องไว้ไต่สวน เนื่องจากข้อเท็จจริงยังไม่ปรากฏพฤติการณ์หรือพยานหลักฐานชัดเจน
3.สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและสมาชิกวุฒิสภาที่ลงมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ ป.ป.ช. มีมติเป็นเอกฉันท์ไม่รับเรื่องไว้ไต่สวน
สำหรับข้อกล่าวหาที่ 2 กรณีกล่าวหาว่านายเศรษฐา กับพวก ได้ร่วมกันแปรญัตติเพิ่มงบประมาณรายจ่ายให้กับกองทุนผู้เคยเป็นสมาชิกรัฐสภาของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร จำนวน 1,256,710,300 บาท อันเป็นการเข้าไปมีส่วนไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อมในการ ใช้งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 144 วรรคสอง
รับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 30 ต.ค.66 กลุ่มงานกิจการทั่วไป สำนักบริหารงานกลาง ซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่รับผิดชอบในการจัดทำรายละเอียดคำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายของกองทุนเพื่อผู้เคยเป็นสมาชิกรัฐสภา ได้มีบันทึกส่งคำขอตั้งงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ที่ผ่านความเห็นชอบจากเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรแล้ว ไปยังสำนักนโยบายและแผน เพื่อทำการวิเคราะห์ รวบรวม และบูรณาการเป็นคำขอตั้งงบประมาณในภาพรวมของหน่วยงาน รวมเป็นเงินจำนวนทั้งสิ้น 220,184,400 บาท ซึ่งประกอบด้วย ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับค่ารักษาพยาบาลเงินช่วยเหลือกรณีสมาชิกถึงแก่กรรมหรือทุพพลภาพ เงินทุนเลี้ยงชีพ ทุนการศึกษาบุตร และค่าบริหารกองทุน
หลังจากที่คณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 และกฎหมายดังกล่าวได้เข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎรแล้ว ปรากฏว่าในวันที่ 9 พ.ค.67 สำนักนโยบายและแผนได้มีบันทึกแจ้งให้หน่วยงานภายในสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาดำเนินการเสนอคำขอแปรญัตติเพิ่มงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ในรายการ/โครงการที่ได้รับจัดสรรงบประมาณไม่เพียงพอ หรือมีความจำเป็นต้องเสนอขอแปรญัตติเพิ่มงบประมาณเพื่อรองรับการดำเนินงานตามกฎหมายของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ในวันที่ 29 พ.ค.67 กลุ่มงานกิจการทั่วไป สำนักบริหารงานกลาง จึงได้เสนอคำขอรับการจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับกองทุนเพื่อผู้เคยเป็นสมาชิกรัฐสภา จำนวน 324,130,810 บาท เนื่องจากในช่วงเวลาดังกล่าวได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมระเบียบคณะกรรมการกองทุนฯ ฉบับใหม่ ซึ่งส่งผลทำให้สิทธิในการได้รับวงเงินเลี้ยงชีพ ค่ารักษาพยาบาล เงินช่วยเหลือกรณีสมาชิกถึงแก่กรรมหรือทุพพลภาพเพิ่มสูงขึ้น จึงมีความจำเป็นต้องขอรับการจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติม
โดยสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรได้มีหนังสือส่งคำขอแปรญัตติเพิ่มเติมงบประมาณรายจ่ายดังกล่าวไปยังประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 เมื่อวันที่ 26 ก.ค.68 แต่ผลการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ปรากฏว่า คณะกรรมาธิการวิสามัญฯ มีมติไม่เห็นชอบการเสนอขอเพิ่มงบประมาณให้แก่กองทุนหมุนเวียนเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับกองทุนเพื่อผู้เคยเป็นสมาชิกรัฐสภา ตามที่สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรเสนอ สอดคล้องกับรายงานการประชุมของสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งไม่ปรากฏข้อมูลว่าได้มีการแปรญัตติเพิ่มงบประมาณรายจ่ายให้กับกองทุนเพื่อผู้เคยเป็นสมาชิกรัฐสภาแต่อย่างใด
นอกจากนั้น เมื่อตรวจสอบจากร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 (เล่มขาวคาดแดง) หมวด 6 งบประมาณรายจ่ายสำหรับทุนหมุนเวียน มาตรา 39 (25) สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรได้เสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณสำหรับกองทุนผู้เคยเป็นสมาชิกรัฐสภา จำนวน 220,184,400 บาท ซึ่งมียอดตรงกับพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ที่ใช้บังคับเป็นกฎหมายแล้ว จำนวน 220,184,400 บาท กรณีจึงไม่มีการแปรญัตติเพิ่มงบประมาณให้กับกองทุนผู้เคยเป็นสมาชิกรัฐสภา ตามที่มีการกล่าวหาแต่อย่างใด
คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงมีมติในประเด็นข้อกลาวหานี้ว่า จากการสอบสวนไม่ปรากฏข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานเพียงพอที่จะฟังได้ว่า ผู้ถูกร้องได้ร่วมกันแปรญัตติเพิ่มงบประมาณรายจ่ายให้กับกองทุนผู้เคยเป็นสมาชิกรัฐสภาของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร จำนวน 1,256,710,300 บาท ตามที่มีการกล่าวหา ข้อกล่าวหาไม่มีมูล ให้ยุติการสอบสวนทางลับ