นายกฯ สั่งยกระดับรายได้แรงงานไทย หวังให้สอดรับกับความท้าทายและการเปลี่ยนแปลงโลก

นายกฯ สั่งยกระดับรายได้แรงงานไทย หวังให้สอดรับกับความท้าทายและการเปลี่ยนแปลงโลก

View icon 119
วันที่ 12 ธ.ค. 2565 | 15.05 น.
ข่าวออนไลน์7HD
แชร์
นายธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยในวันนี้ (12 ธ.ค.65) กล่าวว่า ตลอดระยะเวลา 8 ปี ในการบริหารประเทศของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ถือว่าพี่น้องแรงงานไทยเป็นกลุ่มเป้าหมายสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ จึงวางเป้าหมายสร้างการเติบโตรายได้ของแรงงานอย่างยั่งยืน ด้วยการยกระดับและเน้นการพัฒนาทักษะใหม่ๆ ให้แก่แรงงานทุกกลุ่ม ทุกช่วงวัย ขณะเดียวกันยังกำชับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้ออกมาตรการ Upskill Reskill และ New Skill เพื่อพัฒนาแรงงานให้มีทักษะตรงตามความต้องการของนายจ้าง ส่งเสริมการเรียนรู้ทางออนไลน์บนแพลตฟอร์มของภาครัฐ เช่น “ไทยมีงานทำ” และ Futureskill-newcareer ของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม รวมทั้ง โรงเรียนฝึกอาชีพ 10 แห่งของ กทม. หน่วยงานฝึกอาชีพของกระทรวงมหาดไทย การศึกษาอาชีพเพื่อการมีงานทำของ กศน. สถาบันยานยนต์และสถาบันพัฒนา ผู้ประกอบการการค้ายุคใหม่ของกระทรวงพาณิชย์  เป็นต้น

นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญในการพัฒนาศักยภาพและคุณภาพให้สอดคล้องกับแนวนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจ BCG และเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ( Creative economy) และอุตสาหกรรมใหม่ ที่เน้นการเพิ่มมูลค่าเพิ่ม (Value added) แม้ว่าตลาดแรงงานจะถูกท้าทายจากเทคโนโลยีดิสรัปชันและโควิด-19 แต่ก็ยังทำให้แรงงานไทยเป็นที่ต้องการทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ

ทั้งนี้ ที่ผ่านมา รัฐบาลยังสนับสนุนให้มีโครงการฝึกอบรมความเป็นเลิศด้านเทคโนโลยีชั้นสูง เพื่อพัฒนาแรงงานหรือพัฒนาผู้ประกอบการให้มีความรู้และทักษะฝีมือสอดคล้องกับอุตสาหกรรม 6 กลุ่มเป้าหมาย (ดิจิทัล ระบบอัตโนมัติ อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ ชีวภาพ ปัญญาประดิษฐ์ และหุ่นยนต์) โดยมีผู้ได้รับการฝึกอบรม จำนวน 5,671 คน โครงการยกระดับเพื่อเพิ่มศักยภาพฝีมือและสมรรถนะแรงงานให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน และความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและนวัตกรรม รองรับการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีของภาคอุตสาหกรรม/บริการ มีผู้ได้รับการฝึกอบรม จำนวน 28,304 คน โครงการเพิ่มประสิทธิภาพ/ผลิตภาพได้จัดฝึกอบรมเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้แก่ผู้ประกอบ SMEร กลุ่ม OTOP กลุ่มวิสาหกิจชุมชนหรือสหกรณ์ จำนวน 17,407 คน รวมถึงมีการสำรวจข้อมูลความต้องการแรงงานของสถานประกอบการที่มีแรงงานต่ำกว่า 50 คนลงมา และบันทึกข้อมูลเข้าสู่ระบบฐานข้อมูลอุปสงค์และอุปทานกำลังคนเพื่อรองรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย จำนวน 17,359 แห่งด้วย

“การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำนั้น ต้องคำนึงถึงภาพรวมที่ให้พี่น้องแรงงานมีรายได้เพียงพอต่อการดำรงชีพ แต่ต้องให้ความเป็นธรรมแก่นายจ้างด้วย ควบคู่ไปกับการส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ ดังนั้น การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำที่ผ่านมา จึงเป็นฉันทามติร่วมกันของคณะกรรมการไตรภาคี คือ นายจ้าง ลูกจ้าง และรัฐบาล เพื่อให้พี่น้องแรงงานเติบโตเคียงข้างไปกับเศรษฐกิจของประเทศได้ ไม่ใช่ประกาศว่าจะให้ค่าแรงขั้นต่ำเท่านั้นเท่านี้แบบไม่ปรึกษาหารือกับใคร แล้วค่อยไปหาวิธีเอาในอีก 4-5 ปีข้างหน้า ซึ่งมีแต่จะทำให้สังคมสับสนเปล่าๆ ” นายธนกร กล่าว

ข่าวที่เกี่ยวข้อง