#เศรษฐศาสตร์ตลาดสด คาดว่า ไทยอาจกำลังสูญเสียส่วนแบ่งตลาดทุเรียนไป ด้วยจำนวนคู่แข่งที่มากขึ้น และความต้องการนำเข้าทุเรียนในประเทศจีนที่ลดลง
ทุเรียนขึ้นชื่อในระดับโลกว่าเป็น “ราชาของผลไม้” หรือ “King of Fruits” ซึ่งประเทศไทยถูกจัดอันดับเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุดของโลกมานาน และมีมูลค่าการครองตลาดส่งออกสูงที่สุดของโลกด้วยเช่นกัน
มูลค่าการส่งออกรวมในตลาดโลกอยู่ที่ประมาณ 2.3 หมื่นล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ และ Fact.MR คาดว่าในอีก 10 ปีข้างหน้า ตลาดโลกจะมีมูลค่าการส่งออกทุเรียนเพิ่มขึ้นถึงเกือบเท่าตัว
ในปี 2565 ไทยส่งออกทุเรียนไปยังจีนมีมูลค่าสูงถึง 2.4 พันล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ (ราว 7.8 แสนตัน คิดเป็นร้อยละ 40 ของปริมาณทุเรียนส่งออกของไทย) จีนนั้นมีการนำเข้าทุเรียนในปี 2565 ประมาณ 8.2 แสนตัน (เพิ่มขึ้นจาก 5.8 แสนตันในปี 2561) และมีการคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ว่าความต้องการทุเรียนในจีนจะเติบโตถึงปีละ 20%
Mordor Intelligence คาดว่าในช่วงปี 2566-2570 จะมีการเติบโตของการบริโภคทุเรียนทั่วโลก 10.6% ต่อปี เพราะนอกจากตลาดจีนที่มีการบริโภคมากขึ้นแล้ว ยังมีการเติบโดในตลาดยุโรป ตะวันกลาง และอเมริกา เนื่องจากความเชื่อว่าทุเรียนแม้จะมีปริมาณน้ำตาดสูง แต่มีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดโอกาสการเป็นมะเร็ง อาการซึมเศร้า ชะลอการเกิดริ้วรอย และอุดมไปด้วยธาตุเหล็ก โพแทสเซียม และวิตามินซี
ถ้าพูดถึงทุเรียนที่มีชื่อเสียงดีที่สุด ในตลาดโลกยกให้ทุเรียนจากมาเลเซีย แต่มีส่วนแบ่งในตลาดโลกเพียง 5% มีมูลค่าค่าส่งออกน้อยกว่าไทยมาก แต่ก็ส่งออกไปถึง 22 ประเทศ โดยในช่วงปี 2559 -2564 มาเลเซียมีการผลิตทุเรียนที่ขยายตัวกว่าเท่าตัว (ประมาณ 107%) และมีการคาดการณ์ว่าทั่วโลกจะมีความต้องการทุเรียนจากมาเลเซียเพิ่มขึ้นประมาณ 1 เท่าตัว ในช่วง 5 ปีข้างหน้า
อีก 2-3 ประเทศที่มีการส่งออกทุเรียน คือ เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และ อินโดนีเซีย แต่มูลค่าการส่งออกก็ยังอยู่ในระดับหลักร้อยล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ
========
การสนับสนุนจากภาครัฐในประเทศต่างๆ
ด้วยเหตุที่การเพาะปลูกทุเรียนให้กำไรต่อไร่ค่อนข้างสูง มีการเติบโตของตลาดในจีนมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ประเทศต่างๆ ในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หันมาส่งเสริมการปลูกทุเรียน เช่น
เดือนพฤษภาคม 2565 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ของไทยร่วมกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์และบริษัท เบเยอร์ไทย จำกัด จัดหลักสูตรอบรม BayG.A.P. ให้กับชาวสวนทุเรียนขนาดเล็กในจังหวัดสุราษฎร์ธานี
เดือนกันยายน 2565 บริษัทในมาเลเซียออกผลิตภัณฑ์ขนมไหว้พระจันทร์ไส้ทุเรียน “snow-skinned” ในจีน ด้วยการจับมือกับบริษัทอาลีบาบาและได้รับการสนับสนุนจากสถานทูตมาเลเซีย ณ กรุงเซี่ยงไฮ้
เดือนตุลาคม 2565 ทางการจีนยอมรับการนำเข้าทุเรียนจากฟิลิปปินส์ ในขณะที่ฟิลิปปินส์ส่งเสริมให้เกษตรกรผลิตทุเรียนมากขึ้น
เดือนพฤศจิกายน 2565 ทางการของประเทศเวียดนาม มีแผนการขยายการเพาะปลูกทุเรียนในพื้นที่ภาคกลางของประเทศ พร้อมจัดอบรมเกษตรกร เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นของจีน
ประเทศจีนเองนั้น มีการส่งเสริมการเพาะปลูกทุเรียนมานาน และเริ่มมีผลผลิตมากขึ้น มีการขยายพื้นที่เพาะปลูก สถาบันวิทยาศาสตร์เกษตรเขตร้อนของจีนคาดว่าจะมีผลผลิตทุเรียนประมาณ 4.5-7.5 หมื่นตันในปีหน้า และจะมีการขยายผลผลิตในทุกปี โดยคาดว่าจะมีการเพาะปลูกทุเรียนถึง 2 หมื่นกว่าไร่ภายในเวลา 5 ปีข้างหน้า
=====
ดังนั้น แม้ตลาดทุเรียนโลกจะมีแนวโน้มขยายตัวมากขึ้นในช่วง 5-7 ปีข้างหน้า แต่การส่งออกทุเรียนของไทย จะมีคู่แข่งมากขึ้น โดยเฉพาะในตลาดจีน ศูนย์วิจัยต่างๆ คาดว่าส่วนแบ่งตลาดในจีนของไทยจะลดลง เช่น ศูนย์วิจัย Krungthai Compass คาดว่าจะลดจาก 95% ในปี 2564 เหลือเพียง 88% ในปี 2573
หลายฝ่ายอาจมองว่าไทยจะยังคงแชมป์ผู้ผลิตและผู้ส่งออกทุเรียนในตลาดโลก เพราะไทยยังมีส่วนแบ่งในตลาดโลกถึง 81% ยังคงห่างกับประเทศคู่แข่งอยู่มาก แต่ก็ต้องยอมรับว่า ประเทศไทยกำลังจะส่งออกทุเรียนได้น้อยลง ตัวอย่างเช่น ปริมาณการส่งออกทุเรียนไปตลาดจีนลดลงร้อยละ 4.6% ในปีที่ผ่านมา ในขณะที่จีนหันไปนำเข้าจากเวียดนามเพิ่มขึ้น
หากไทยไม่พัฒนาประสิทธิภาพในการผลิตทุเรียน ที่จะช่วยเพิ่มผลผลิตต่อไร่ ลดต้นทุนต่อหน่วยการผลิต และเพิ่มความสามารถการแข่งขันทางราคากับประเทศเพื่อนบ้านที่ต้นทุนแรงงานต่ำกว่าไทย ประเทศไทยก็อาจสูญเสียตำแหน่งแชมป์นี้ไปได้ เหมือนกับสินค้าเกษตรชนิดอื่นที่ไทยสูญเสียตำแหน่งให้กับประเทศคู่แข่งไปแล้ว เช่น ข้าว ที่เราเคยครองอันดับหนึ่งมาจนถึงปี 2554 กระทั่งมีการแทรกแซงตลาดปรับขึ้นราคาข้าว ทำให้ไทยส่งออกได้น้อยลงในปี 2555 และสูญเสียส่วนแบ่งตลาดโลกที่ไทยไม่เคยได้กลับคืนมาอีกเลย