รวบตัวพระไร้ สังกัด ออกบิณฑบาตในโรงพยาบาล

รวบตัวพระไร้ สังกัด ออกบิณฑบาตในโรงพยาบาล

View icon 65
วันที่ 28 ก.พ. 2567 | 07.31 น.
ข่าวออนไลน์7HD
แชร์
รวบตัวพระไร้ สังกัด ออกบิณฑบาตในโรงพยาบาล ไม่ได้อาศัยอยู่วัด แต่อาศัยอยู่บ้าน อ้าง วัดไม่ใช่เซฟโซน จึงจำเป็นต้อง Work from home ก่อนมาถูกจับกุม

พบไม่มีใบสูจิบัตรแสดงตัวตน ศาลเจ้าอาวาสพบไม่ได้อยู่วัดมาแล้วสองปี จึงนำส่งเจ้าคณะตำบลพระปฐมเจดีย์ทำการสึกต่อไป โดยเจ้าตัวสารภาพว่าทราบข่าวการกวาดล้างแต่ก็ก็ขอวัดดวงในการออกมาปฏิบัติกิจ ส่วนสาเหตุที่มาบิณฑบาตในโรงพยาบาลเนื่องจากถูกพระเจ้าถิ่นไม่ยอมให้ยืนบิณฑบาตรอบองค์พระปฐมเจดีย์ โดยมีวลีเด็ด วัดไม่ใช่เซฟโซนของอาตมา จึงจำเป็นต้องเวิร์คฟอร์มโฮมก่อนมาถูกจับกุมในวันนี้

วันที่ 27 ก.พ.67 พระครูสังฆรักษ์พงษ์ดนัย พระวินยาธิการ วัดไผ่ล้อม ต.พระปฐมเจดีย์ อ.เมือง จ.นครปฐม ได้รับแจ้งจากประชาชนว่ามีพระภิกษุต้องสงสัยว่าไม่ใช่พระแท้ได้มาบิณฑบาตและเรี่ยรายเงินอยู่ภายในโรงพยาบาลนครปฐม ซึ่งมีพฤติกรรมยืนอยู่ตามอาคารต่างๆ ซึ่งไม่ใช่เป็นสถานที่สำหรับเดินบิณฑบาต จึงได้เข้าตรวจสอบหลังจากได้มีญาติโยมควบคุมตัวเอาไว้เพื่อรอให้ การตรวจสอบ

โดยเมื่อไปถึงพบพระภิกษุ อายุประมาณ 50 ปี อยู่ภายในโรงพยาบาลนครปฐม ตามที่มีประชาชนแจ้ง เรื่องร้องเรียนเข้ามาจึงได้นิมนต์มาตรวจสอบเอกสารหลักฐานที่วัดไผ่ล้อม โดยพบว่าไม่มีสูจิบัตรประจำตัวพระภิกษุสงฆ์ แต่พบเอกสารในการบวชที่วัดแห่งหนึ่ง ในจังหวัดสุพรรณบุรี พร้อมบัตรประชาชนชื่อนายสำรวย (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 50 ปี ชาวอำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม เมื่อได้โทรศัพท์ไปตรวจสอบกับเจ้าอาวาสที่ต้นสังกัดทราบว่า พระรูปดังกล่าวไม่ได้อยู่ที่วัดแล้ว และไม่สามารถติดต่อได้ จึงขอให้พระวินยาธิการ ช่วยดำเนินการจับสึก ตามหลักการปกครองของคณะสงฆ์ด้วย

จากนั้น พระครูสังฆรักษ์พงษ์ดนัย ได้นำตัวนายสำรวย (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 50 ปี ไปลงบันทึกประจำวันที่สถานีตำรวจภูธรเมืองนครปฐม โดย พ.ต.ต.อภิชัช อาระหัง สวป. สภ.เมืองนครปฐม ได้นำกำลังเจ้าหน้าที่สายตรวจมาเป็นพยานในการลงบันทึกประจำวันและนำตัวส่งเจ้าคณะตำบลพระปฐมเจดีย์ วัดห้วยจระเข้ เพื่อดำเนินการเก็บข้อมูลตรวจสอบหลักฐานตามขั้นตอนของคณะสงฆ์ ซึ่งได้มีการดำเนินการให้ลาสิกขา เนื่องจากผิดระเบียบในการออกมาบิณฑบาตเพราะเป็นพระใหม่ที่บวชเพียงสองปีและไม่อยู่จำวัดแต่ออกมาอาศัยอยู่บ้านเรือนของตัวเองและออกกิจนิมนต์โดยไม่ได้แจ้งให้ต้นสังกัดทราบ

นายสำรวย (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 50 ปี บอกว่าตนเองได้บวช มาประมาณสองปีที่จังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งก่อนหน้าก็ได้ทำหน้าที่ดูแลบิดามารดาที่บ้านพักในอำเภอกำแพงแสนจังหวัดนครปฐม โดยยึดอาชีพขายหมูปิ้งที่บ้าน แต่เมื่อเกิดวิกฤตการณ์แพร่ระบาดของไวรัส โควิด-19 ทำให้ไม่สามารถขายของได้และยังมาเจอช่วงวิกฤตที่เนื้อหมูมีราคาแพง จึงต้องหยุดทำการขายจากนั้นได้ไปสมัครเป็นยามแต่ก็ทำงานได้ไม่นานก็ถูกให้ออกจากงาน จึงได้ตัดสินใจไปบวชหมู่ที่จังหวัดสุพรรณ แต่พบว่าพระที่บวชด้วยชอบรังแกตนเองจึงไม่อยากอยู่วัดและได้กลับมาบ้านพักเพื่อมาดูแลบิดา จากนั้นได้ไปปริวาสตามที่ต่างๆ โดยได้เดินบิณฑบาตรอบองค์พระปฐมเจดีย์ แต่ก็ถูกพระเจ้าถิ่นไร่ไม่ให้ไปบิณฑบาตบริเวณดังกล่าว จึงได้ตัดสินใจมาเดินบิณฑบาตและรับบริจาคเงินภายในโรงพยาบาลนครปฐม โดยรายใดถวายเงิน 100 บาทก็จะมอบแหวนเงินหัวเพชร(ของปลอม) ให้เป็นที่ระลึก

"อาตมายอมลาสิขา แต่โดยดีเพราะรู้ว่าผิดโดยได้เคยติดตามข่าวว่าหลวงพี่น้ำฝนวัดไผ่ล้อมได้จากพระปลอม ซึ่งก็รู้อยู่ว่าตนเองทำผิด และคิดว่าสักวันจะต้องโดนจับ แต่ไม่คิดว่าจะรวดเร็วแบบนี้ ซึ่งก็ได้วัดดวงออกมาบิณฑบาตบ่อยครั้ง โดยการออกจากบ้านพักที่ อำเภอกำแพงแสน และมาบิณฑบาตที่โรงพยาบาลนครปฐม และจากนี้ยังไม่รู้จะกลับมาบวชหรือไม่ เนื่องจากต้องไปหางานทำดูก่อน แต่ที่ตนเองอยากจะบอกไว้คือ วัดไม่ใช่เซฟโซนของอาตมา เพราะมีแต่พระที่ชอบรังแกตบหัวบ้างด่าทอบ้าง จึงได้กลับมาอยู่บ้านอาศัยบ้านเป็นที่พัก จากนี้ขอคิดอีกครั้งว่าจะกลับมาบวชหรือไม่ แต่วันนี้มันจบแล้วก็ต้องยอมสึกตามที่คณะสงฆ์ว่ามา" นายสำรวย (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 50 ปี กล่าวปิดท้าย

หลังจากได้ทำการลาสิขาเจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจภูธรเมืองนครปฐม ได้นำตัวนายสำรวย ที่เปลี่ยนชุดจากจีวรพระเป็นชุดสีขาวกลับไปส่งยังสถานีขนส่ง เพื่อนั่งรถกลับบ้านที่อำเภอกำแพงแสน พร้อมให้ค่ารถกลับติดตัวไปอีก 200 บาท โดยขอสัญญาว่าจะไม่ให้กลับมาปฏิบัติตนเช่นนี้อีก ไม่เช่นนั้นจะมีการดำเนินคดีในข้อหาแต่งกายเลียนแบบพระต่อไป

ทั้งนี้ ในจังหวัดนครปฐม ได้มีการแต่งตั้งและแจกบัตรประจำตัวให้กับพระวินยาธิการ (ตำรวจพระ) ในจังหวัด นครปฐม จำนวน 76 รูป ในพื้นที่เจ็ดอำเภอ ซึ่งจะมีการปฏิบัติการ จู่โจมตรวจสอบพระภิกษุสงฆ์ที่ประพฤติตนไม่เหมาะสมและพระปลอมที่แอบอ้างหากินในผ้าเหลือง เพื่อดำเนินคดีตามกฏหมายและดำเนินการตามมติคำสั่งของคณะสงฆ์ต่อไป ขณะที่ประชาชนหลายคนบอกว่าขณะนี้เกิดความสับสน เนื่องจากไม่สามารถตรวจสอบหรือรู้ได้ว่าพระภิกษุที่ได้ใส่บาตรให้หรือทำบุญเป็นพระจริงหรือไม่จึงอยากให้ออกมาช่วยกวดขันในเรื่องดังกล่าวอย่างจริงจังเพื่อความสบายใจของพุทธศาสนิกชน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง