หนุ่มร้องสายไหมต้องรอด ตำรวจยิงโจรลักสายไฟผิดตัว

หนุ่มร้องสายไหมต้องรอด ตำรวจยิงโจรลักสายไฟผิดตัว

View icon 73
วันที่ 12 เม.ย. 2567 | 11.54 น.
ข่าวออนไลน์7HD
แชร์
น้องชาย ร้อง "สายไหมต้องรอด" หลังพี่ชายถูกตำรวจยิงตาย เพราะคิดว่าเป็นโจรลักสายไฟที่โรงงาน ยันพวกตนไม่ใช่โจร วันเกิดเหตุแค่ลงไปฉี่ ไปแค่ 2 คน ไม่ใช่ 4 คนอย่างที่ตำรวจอ้าง

ตำรวจยิงผิดตัว - จากกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดปฏิบัติการพิเศษ ตำรวจภูธร จังหวัดฉะเชิงเทรา ใช้อาวุธปืนยิงนายอำพล อายุ 50 ปี จนเสียชีวิต ที่โรงงานแห่งหนึ่ง ในพื้นที่ หมู่ 13 บ้านหนองเหียง ต.เขาหินซ้อน อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา เหตุเกิดเมื่อคืนวันที่ 9 เม.ย. ที่ผ่านมา

ความคืบหน้าล่าสุด วันนี้ (12 เม.ย. 67) นายเอกภพ เหลืองประเสริฐ ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด ได้พา นายสมพงศ์ ปิ่นแก้ว น้องชายองผู้เสียชีวิต มาแจ้งความที่กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง

โดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทางตำรวจอ้างว่า มีคนร้าย 4 คน ลักลอบเข้ามาตัดสายไฟและหม้อไฟภายในโรงงานดังกล่าว แต่ รปภ. มาเห็นเข้า จึงถูกคนร้ายยิงใส่ จากนั้น รปภ. จึงโทรแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เขาหินซ้อน เมื่อเดินทางมาถึงก็ถูกคนร้ายยิงใส่ จึงยิงตอบโต้กลับไป จากนั้นคนร้ายได้ขับรถกระบะหลบหนีไปทางด้านหลังโรงงาน

ต่อมาวันที่ 10 เม.ย. เจ้าหน้าที่ตำรวจคาดว่าคนร้ายจะต้องย้อนกลับมาเอาสิ่งของ และอุปกรณ์เครื่องมือต่างๆ จึงเฝ้าติดตาม ก็พบเห็นคนร้ายย้อนกลับมา และคนร้ายยิงต่อสู้จึงถูกวิสามัญ 1 คน ส่วนที่เหลือขับรถกระบะหลบหนีไปได้

หลังเกิดเหตุดังกล่าว 1 ใน 3 คน ที่ตำรวจอ้างว่าเป็นคนร้ายที่หลบหนีไปได้ ออกมาร้องกับเพจสายไหมต้องรอด ว่า สิ่งที่ตำรวจเล่าคือหนังคนละม้วนกับความเป็นจริง เรื่องจริงคือตนและพี่ชายไปกัน 2 คน ไม่ใช่ 4 คน อย่างที่ตำรวจอ้าง และแค่ลงไปปัสสาวะเท่านั้น แต่กลับถูกยิงแบบไม่ทันตั้งตัว

ขณะที่ นายเอกภพ กล่าวว่า ตอนแรกจะพาน้องชายผู้เสียชีวิต ไปแจ้งความที่ สภ.เขาหินซ้อน แต่เห็นท่านผู้กำกับ บอกว่ายิงไม่ผิดตัวล้านเปอร์เซ็นต์ ทำให้ตัวน้องชายผู้เสียชีวิตเกิดความกังวลใจว่าจะไม่เป็นธรรม เลยมาแจ้งความที่กองบัญชาการสอบสวนกลาง

"ทำไมมีภาพกล้องวงจรปิด วันที่ 9 แต่ไม่มี วันที่ 10 เม.ย. และคนร้ายที่เพิ่งยิงปะทะกับตำรวจเพียงวันเดียว จะย้อนกลับไปที่เกิดเหตุเพื่ออะไร อีกอย่างผู้เสียชีวิตนั้นพิการหลังค่อม แน่จริงตำรวจต้องเปิดภาพจากกล้องบอดี้แคมที่ติดตัวมาให้เห็นเป็นหลักฐาน" นายเอกภพ กล่าวทิ้งท้าย