เปลี่ยนจากรถยนต์สันดาปเป็นรถEV รมว.แรงงาน ยืนยันมีแผนรองรับคนตกงาน

เปลี่ยนจากรถยนต์สันดาปเป็นรถEV รมว.แรงงาน ยืนยันมีแผนรองรับคนตกงาน

View icon 66
วันที่ 21 มิ.ย. 2567 | 18.33 น.
ข่าวออนไลน์7HD
แชร์
รมว.แรงงาน ยืนยัน มีแผนรองรับ คนตกงานหากเปลี่ยนจากรถยนต์สันดาปเป็นรถEV  ทำ MOU สถาบันการศึกษาติวเข้มเทคโนโลยีใหม่ รองรับการเปลี่ยนแปลงภายใน 5 ปี

วันนี้ (21 มิ.ย.67) นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ลุกขึ้นชี้แจง ข้อห่วงกังวลของ สส. ฝ่ายค้านหากในอนาคต โรงงานผลิตรถยนต์สันดาปถูกเปลี่ยนไปเป็น รถยนต์ระบบไฟฟ้า และจะส่งผลกระทบให้แรงงานกว่า 2 แสนคน ต้องตกงาน โดยนายพิพัฒน์ ยืนยันว่า กรมพัฒนาฝีมือแรงงานได้เตรียมความพร้อมเอาไว้แล้ว ภายในระยะเวลา 5 ปีนับจากนี้ หากมีแรงแรงงานไทยถูกปลดออกจากอุตสาหกรรมรถยนต์สันดาป กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน ได้ลงนามร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการและกระทรวง อุดมศึกษาวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม เพื่อรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้า

นายพิพัฒน์ มั่นใจว่า เมื่อมีการตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยแล้ว กระทรวงแรงงานจะสามารถส่งบุคลากรที่มีความรู้ด้านเทคโนโลยีเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้า ได้ทันตามความต้องการ แต่ที่สำคัญ หากถึงเวลาที่รถยนต์สันดาปจะต้องหมดไปจากโลกใบนี้ ก็มีการเตรียมความพร้อมให้กับแรงงาน ยืนยันว่าไม่ได้นิ่งนอนใจ โดยจะมีการพัฒนานักเรียนนักศึกษา ที่กำลังจะจบการศึกษาให้ได้เรียนรู้เทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้าควบคู่กันไปด้วย

นอกจากนี้  ยังได้ทำความตกลงกับสถาบันการศึกษาหลายสถาบัน ด้วยกันจัดทำโครงการให้นำความชำนาญมาเทียบกับหน่วยกิตเพื่อให้เป็นเครดิตในระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพและประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูงเพื่อเข้าเรียนต่อในระดับอุดมศึกษา และยังได้ร่วมมือกับกระทรวงมหาดไทย ทำโครงการหนึ่งหมู่บ้านหนึ่งช่างไฟฟ้า รองรับการตกงานในอนาคตโดยไม่ต้องออกไปทำงานต่างบ้านต่างจังหวัด

ส่วนกองทุนประกันสังคม ที่มีเงินสะสมเมื่อสิ้นปีที่ผ่านมา 2.5 ล้านล้านบาท แต่ในอนาคตจะเก็บเงินเข้ากองทุนต่อเนื่องทุกปี และจะถึงจุดสูงสุดในปี 2578 ทำให้มีเงินสะสมในกองทุนประมาณ 5 ล้านล้านบาท แต่เมื่อถึงพ.ศ. 2597 หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไร เงินทั้งหมดของกองทุนประกันสังคมจะกลายเป็นศูนย์ทันที จากสังคมผู้สูงอายุ

นายพิพัฒน์ ฝากไปยังคณะกรรมาธิการวิสามัญที่จะพิจารณางบประมาณปี 2568 ว่าแม้กรมพัฒนาฝีมือแรงงานจะได้งบประมาณเพิ่มขึ้นแต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะรองรับสิ่งต่าง ๆ ที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงไปในอนาคต เพราะจะมีแรงงานเข้าสู่ระบบปีละประมาณ 500,000 คน แต่ขณะเดียวกันก็ยังมีคนที่เกษียณอายุงาน ประมาณ 150,000 คน จึงถือเป็นหน้าที่ของกรมพัฒนาแรงงานที่จะต้องหาแรงงานเข้ามาอุดช่องว่างตรงนี้ ขณะเดียวกันก็ยังมีหน้าที่ในการส่งแรงงานออกไปทำงานในต่างประเทศด้วย  โดยตั้งเป้าส่งแรงงานออกไปให้ได้ไม่น้อยกว่าปีละ 100,000 คน จึงขอให้คณะกรรมาธิการได้สนับสนุนงบประมาณให้กับกระทรวงแรงงานด้วย

ข่าวที่เกี่ยวข้อง