ต่างชาติแห่ซื้อคอนโดในไทย ไตรมาสแรกทะลุ 3.9 พันหน่วย กวาดเงิน 1.8 หมื่นล้านบาท

ต่างชาติแห่ซื้อคอนโดในไทย ไตรมาสแรกทะลุ 3.9 พันหน่วย กวาดเงิน 1.8 หมื่นล้านบาท

View icon 131
วันที่ 24 มิ.ย. 2567 | 17.22 น.
ข่าวออนไลน์7HD
แชร์
ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ รายงานสถานการณ์การโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุด หรือคอนโด ของคนต่างชาติ ไตรมาส 1 ปี 2567 โอนกรรมสิทธิ์กว่า 3,938 หน่วย มูลค่า 1.8 หมื่นล้านบาท พบชาวจีนแห่ซื้อมากสุด

วันนี้ (24 มิ.ย. 67) ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ได้เปิดเผยถึงสถานการณ์การโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดให้ชาวต่างชาติทั่วประเทศในไตรมาส 1 ปี 2567 พบว่า มีการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดให้ชาวต่างชาติ 3,938 หน่วย เพิ่มขึ้น 4.3% และมีมูลค่ารวมของการโอนกรรมสิทธิ์ 18,013 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.2%

จังหวัดที่มีหน่วยโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดให้คนต่างชาติมากสุด 5 อันดับ ประกอบด้วย
อันดับ 1 คือ ชลบุรี จำนวน 1,521 หน่วย โดยมีสัดส่วนร้อยละ 38.6 มูลค่า 4,165  ล้านบาท ขณะที่
อันดับ 2 คือ กรุงเทพมหานคร 1,498 หน่วย โดยมีสัดส่วนร้อยละ 38.0 มูลค่า 10,699 ล้านบาท
ซึ่งทั้ง 2 จังหวัดมีสัดส่วนจำนวนหน่วยและมูลค่ารวมกันสูงถึงร้อยละ 76.6 และ 82.5 ตามลำดับ

ทั้งนี้ มีข้อสังเกตว่า แม้ชลบุรีได้มีหน่วยโอนกรรมสิทธิ์เป็นอันดับ 1 ตั้งแต่ปี 2566 แทนที่กรุงเทพมหานครเคยเป็นอันดับ 1 ในปีก่อนหน้าถึงปี 2565 แต่กรุงเทพมหานครก็ยังคงเป็นจังหวัดที่มีมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดให้คนต่างชาติสูงที่สุดมาโดยตลอด
ขณะที่เชียงใหม่มีจำนวนเพียง 249 หน่วย มูลค่า 574 ล้านบาท
จังหวัดภูเก็ต มีจำนวน 242 หน่วย มูลค่า 1,353 ล้านบาท
จังหวัดสมุทรปราการ มีจำนวน 140 หน่วย มูลค่า 392 ล้านบาท

ข้อมูลที่กล่าวมานี้ได้สะท้อนให้เห็นถึงความสนใจของชาวต่างชาติในการซื้อห้องชุดในเมืองหลักและเมืองท่องเที่ยวในประเทศไทยมากที่สุด

สัญชาติของกลุ่มผู้ที่รับโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดสูงสุด 3 สัญชาติในไตรมาส 1 ปี 2567 ประกอบด้วย
อันดับ 1 คือ ชาวจีน ที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ 1,596 หน่วย คิดเป็นสัดส่วน 43.8% มูลค่า 7,570 ล้านบาท
อันดับ 2 คือ ชาวเมียนมา จำนวน 392 หน่วย คิดเป็น 10.0% มูลค่า 2,207 ล้านบาท
อันดับ 3 คือ ชาวรัสเซีย จำนวน 295 หน่วย และมีสัดส่วน 7.5% มูลค่า 924 ล้านบาท

ทั้งนี้มีข้อสังเกตว่า ชาวเมียนมาเป็นสัญชาติที่มีจำนวนหน่วยโอนกรรมสิทธิ์ขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างมากถึง 415.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยขยับลำดับขึ้นอย่างรวดเร็ว จากลำดับที่ 25 ในปี 2564 เป็นลำดับที่ 6 ในปี 2565 และ เป็นลำดับที่ 4 ในปี 2566 โดยล่าสุดขึ้นมาเป็นลำดับ 2 ในไตรมาส 1 ปี 2567