ตร. ร่วม กสทช. วาง 4 มาตรการ ปราบการลอบใช้สัญญาณโทรศัพท์อินเทอร์เน็ต เอื้อแก๊งคอลเซ็นเตอร์ฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน

ตร. ร่วม กสทช. วาง 4 มาตรการ ปราบการลอบใช้สัญญาณโทรศัพท์อินเทอร์เน็ต เอื้อแก๊งคอลเซ็นเตอร์ฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน

View icon 151
วันที่ 23 ก.ค. 2567 | 19.23 น.
ข่าวออนไลน์7HD
แชร์
วันนี้ (23 ก.ค. 67) เมื่อเวลา 17.00 น. ที่ผ่านมา พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผู้ช่วย ผบ.ตร.) ในฐานะผู้อำนวยการ ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (รอง ผอ.ศปอส.ตร.) และ พล.ต.อ.ณัฐธร เพราะสุนทร กรรมการกิจการกระจายเสียง (ด้านกฎหมาย) สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) แถลงข่าวภายหลังการลงพื้นที่ตรวจสอบลักลอบนำสายสัญญาณโทรศัพท์ไปยังฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน และการประชุมหารือร่วมกันของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในพื้นที่ อ.เชียงแสน จ.เชียงราย

พล.ต.ท.ธัชชัย กล่าวว่า หลังจากการลงพื้นที่และมีการร่วมประชุมกับ กสทช. , ตำรวจภูธรภาค 5 , ตำรวจภูธรจังหวัดเชียงราย , ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง , ทหาร และฝ่ายปกครอง ในการกำหนดมาตรการต่าง ๆ ไม่ให้คนร้ายใช้สัญญาณจากประเทศไทย ในการกลับมาหลอกคนไทยในประเทศ ซึ่งได้มีการกำหนดมาตรการ 4 ข้อ ได้แก่

1. เรื่องสัญญาณ ทางสำนักงาน กสทช. และ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยตำรวจภูธรจังหวัดเชียงราย จะร่วมสำรวจตรวจสอบว่ายังมีสัญญาณส่งไปยังเขตเศรษฐกิจพิเศษหรือไม่ หากมีการส่งสัญญาณไป ต้องเร่งตรวจสอบว่ามีความผิดปกติหรือไม่อย่างไร เพื่อพิสูจน์ให้แน่ชัดว่ากลุ่มคนร้ายจะไม่ใช้สัญญาณมาหลอกคนไทยได้อีก

2. ระบบการรับแจ้งความ ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติจะไปตรวจสอบว่ามีการกระทำความผิดมาจากฝั่งเศรษฐกิจพิเศษหรือไม่

3. การแชร์ข้อมูลซึ่งกันและกัน ระหว่างตำรวจ ทหาร ฝ่ายปกครอง และสำนักงาน กสทช. : โดยสำนักงาน กสทช.จะแชร์ข้อมูลเรื่องการใช้เสาส่งสัญญาณ และการลากสายส่งไปยังฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่ง กสทช.จะแชร์ข้อมูลว่าใครเป็นผู้ได้รับอนุญาตหรือไม่ ต่อจากนั้นส่วนที่เกี่ยวข้อง เช่น ฝ่ายปกครองจะไปแจ้งกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน ร่วมใช้สายตรวจในการออกตรวจ , ฝ่ายทหารจะตรวจสอบตามแนวชายแดน หากพบการกระทำผิดจะดำเนินคดีอย่างเด็ดขาด

4. ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง จะมีการเข้มงวดตรวจสอบคนที่มีแนวโน้มจะไปทำงานในแก๊งคอลเซ็นเตอร์ฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน รวมทั้งจะมีการเฝ้าระวังคนต่างชาติเป้าหมายที่น่าเชื่อว่าจะไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ รวมทั้งจะเตือนเพื่อไม่ให้ข้ามไปเพราะอาจจะถูกหลอกให้ไปทำงานกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้

ทั้งหมดเป็นมาตรการที่ออกไปตามนโยบายยุทธการ “ระเบิดสะพานโจร” ซึ่งนายกรัฐมนตรีมีความห่วงใย สั่งการให้เร่งแก้ไขปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ตั้งบริเวณแนวชายแดน ที่ใช้สัญญาณจากประเทศไทยมาหลอกคนไทย

ด้าน พล.ต.อ.ณัฐธร กล่าวว่า ในส่วนของ กสทช. จะสนับสนุนการทำงานของตำรวจในทุกมิติ เพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น ในการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี โดยเฉพาะแก๊งคอลเซ็นเตอร์ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำงานร่วมกันตลอด ในเรื่องซิม เสา สาย ซึ่ง กสทช.กำกับและดูแลอยู่ เนื่องจากเป็นหน่วยที่กำกับดูแลการประกอบกิจการของผู้ประกอบการโทรศัพท์เคลื่อนที่ ซึ่งเป็นผู้ที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับสัญญาณต่างๆที่แก๊งคอลเซ็นเตอร์ใช้

โดยปกติเป็นที่ทราบกันอยู่แล้วว่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์ตั้งอยู่ในต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ ในกรณีที่โทรจากที่ไกลๆ เราก็มีวิธีแจ้งเตือนผู้รับสายให้รับทราบ โดยใส่ +697 และ +698 ไว้ข้างหน้า หากมีเบอร์หมายเลขยาวๆ เป็นเบอร์ที่น่าสงสัยว่าเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ แต่ในกรณีที่แก๊งคอลเซ็นเตอร์มาตั้งอยู่แนวตะเข็บชายแดนฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน แล้วใช้ซิมของไทย เกาะโครงข่ายโทรศัพท์ของไทยโทรเข้ามา จะไม่รู้เลยว่าเป็นโทรศัพท์ที่มาจากต่างประเทศ ตรงนี้ได้มีการดำเนินการในเรื่องของซิม โดยได้ประกาศให้มีการยืนยันตัวตน เพื่อคัดกรองซิมผี หรือซิมที่อยู่ในความครอบครองของคนร้ายออกไป โดยใครที่ไม่มายืนยันตัวตนซิมก็จะถูกกำจัดไป ซึ่งได้ระงับไปแล้วกว่า 2 ล้านเลขหมาย คาดว่าส่วนใหญ่อยู่ในความครอบครองของกลุ่มมิจฉาชีพ

นอกจากนี้ ในเรื่องของเสาสัญญาณที่กระจายสัญญาณข้ามพรมแดนไปเอื้อประโยชน์ให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ เราได้มีการตรวจตามแนวชายแดนต่างๆ ซึ่งมีการตรวจไปแล้วและมีการจับกุมจำนวนมาก ใน 11 อำเภอ 9 จังหวัด มีผู้ลักลอบตั้งเสาสัญญาณ 33 ราย นอกจากนั้น เรามีการล้มเสา ถอดสายสัญญาณออก ของผู้ประกอบการที่ได้รับอนุญาตแต่ทำผิดเงื่อนไขทั่วประเทศ นั่นเป็นสิ่งที่เราดำเนินการเพื่อให้ตำรวจทำงานบังคับใช้กฎหมาย และจับกุมตัวคนร้ายได้อย่างเป็นรูปธรรม และสกัดกั้นไม่ให้เกิดขึ้นอีก ตรงนี้เป็นสิ่งที่เราทำงานร่วมกันระหว่างสำนักงาน กสทช. และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ