ดีเอสไอ นำตัวนายหน้าสาวฝากขัง คดีหลอกคนไทย ทำงานแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในฟิลิปปินส์

ดีเอสไอ นำตัวนายหน้าสาวฝากขัง คดีหลอกคนไทย ทำงานแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในฟิลิปปินส์

View icon 310
วันที่ 22 มิ.ย. 2568 | 19.00 น.
ข่าวออนไลน์7HD
แชร์
ฝากขังนายหน้าสาว หลอกคนไทยสมัครงานต่างประเทศ รายได้ดี สุดท้ายบังคับทำงานแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในฟิลิปปินส์ ทางการฟิลิปปินส์ช่วยออกมาได้ เหยื่อกลับประเทศร้องทุกข์ให้จับผู้ต้องหา

วันนี้ (22 มิ.ย.68) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ กองคดีการค้ามนุษย์ กรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้นำตัว น.ส.ณัฐวิกรณ์ ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 1858/2567 ลงวันที่ 25 เม.ย.2567 ซึ่งต้องหาว่า กระทำความผิดฐาน “ร่วมกันตั้งแต่ 3 คนขึ้นไปแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบด้วยการบังคับใช้แรงงาน หรือการอื่นใดที่คล้ายคลึงกันอันเป็นการขูดรีดบุคคลโดยเป็นธุระจัดหา และยึดเอกสารสำคัญประจำตัวของบุคคลนั้นไว้ นำภาระหนี้ของบุคคลนั้นหรือของผู้อื่นมาเป็นสิ่งผูกมัดโดยมิชอบให้ผู้อื่นนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้, ร่วมกันหน่วงเหนี่ยวฯ ไปยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อฝากขังครั้งแรก หลังซึ่งเจ้าหน้าที่สามารถจับกุมตัวได้บริเวณด้านหน้าอะพาร์ตเมนต์แห่งหนึ่ง ย่านพระโขนง กรุงเทพมหานคร

สำหรับการจับกุมดังกล่าว เป็นการดำเนินการภายใต้ คดีพิเศษที่ 32/2566 โดยมีกลุ่มบุคคลร่วมกันเป็นธุระจัดหาชาวไทยไปแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ ด้วยการบังคับใช้แรงงานเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่ประเทศฟิลิปปินส์ โดยกลุ่มผู้ต้องหาจะประกาศรับสมัครงานผ่านโซเชียลมีเดียหาคนไทยไปทำงานในประเทศฟิลิปปินส์ ในตำแหน่งพนักงาน ฝ่ายบุคคล ฝ่ายการตลาด และฝ่ายบริการลูกค้าของบริษัท มีค่าตอบแทนเดือนละประมาณ 50,000 บาท มีสวัสดิการ ต่อมาผู้เสียหายเกิดความสนใจและหลงเชื่อที่จะไปทำงานตามที่ได้มีการประกาศไว้ จึงนัดหมายให้มีการสัมภาษณ์งานจากบุคคลสัญชาติจีน และได้เดินทางจากประเทศไทยไปทำงานที่ประเทศฟิลิปปินส์ โดยมีกลุ่มผู้ต้องหาคอยอำนวยความสะดวกและจัดหาบัตรโดยสารเครื่องบิน

เมื่อผู้เสียหายได้เดินทางไปถึงประเทศฟิลิปปินส์ได้พบกับผู้ต้องหากับพวก ผู้ต้องหาได้ยึดหนังสือเดินทาง และพบว่าบริษัทที่ได้สมัครมาทำงานนั้นไม่ได้เป็นไปตามคำชักชวนและที่ประกาศไว้ อีกทั้งยังถูกกลุ่มผู้ต้องหากับพวก หลอกลวงและบังคับให้ทำงานโดยลักษณะงานเป็นการทำงานผ่านคอมพิวเตอร์ ใช้โทรศัพท์และสื่อโซเชียลหลอกลวงผู้อื่นให้มาทำงานที่บริษัทของกลุ่มผู้ต้องหา เมื่อมีบุคคลหลงเชื่อก็จะถูกบริษัทบังคับให้ทำงานในขบวนการคอลเซ็นเตอร์ เพื่อหลอกลวงผู้อื่นตามที่บริษัทกำหนด หากผู้กล่าวหาไม่ทำตามก็จะถูกข่มขู่ บังคับ และสร้างภาระหนี้สิน หรือถูกปรับเงินและจะถูกขายตัวไปยังบริษัทแห่งอื่นในประเทศฟิลิปปินส์ เพื่อแสวงหาประโยชน์จากการใช้แรงงานและการกระทำอันเป็นการขูดรีดผู้กล่าวหา ก่อนจะได้รับการช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ตำรวจประเทศฟิลิปปินส์ เมื่อเดินทางกลับถึงประเทศไทยจึงได้ร้องทุกข์กล่าวโทษดำเนินคดีกับผู้ต้องหารายดังกล่าวกับพวก

ทั้งนี้ คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ กองคดีการค้ามนุษย์ กรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้ยื่นคำร้องขอฝากขังผู้ต้องหาต่อศาลอาญา โดยคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ จะดำเนินการสอบสวนขยายผลไปยังผู้ที่เกี่ยวข้องในเครือข่ายรายอื่น ๆ ต่อไป