วันนี้ (8 ก.ค. 68) ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ เริ่มส่งหนังสือแจ้งต่อประเทศคู่ค้าแล้ววานนี้ จะเริ่มเรียกเก็บภาษีนำเข้าในอัตราที่สูงขึ้น ตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. เป็นต้นไป
โดยจดหมายได้ถูกส่งถึงประเทศที่เป็นซัพพลายเออร์รายใหญ่อย่างญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ไปจนถึงประเทศที่เป็นผู้ค้ารายย่อย รายเล็กของสหรัฐฯ จำนวน 14 ประเทศ ซึ่ง 1 ในนั้นคือ ประเทศไทย
ส่วนทางด้าน เกาหลีใต้ และ ญี่ปุ่น ถูกเรียกเก็บอัตราภาษี อยู่ที่ 25% เช่นเดียวกับ สินค้าจากตูนิเซีย มาเลเซีย และคาซัคสถาน; 30% สำหรับแอฟริกาใต้ บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา; 32% สำหรับอินโดนีเซีย; 35% สำหรับเซอร์เบียและบังกลาเทศ; 36% สำหรับกัมพูชาและไทย และ 40% สำหรับลาวและเมียนมา
สำหรับจดหมายที่ประเทศไทยได้รับ ได้แจ้งไว้ว่า เป็นการเรียกเก็บภาษีหลังจากสหรัฐฯ เผชิญภาวะขาดดุลการค้ากับไทย โดยตั้งแต่ (1 ส.ค.68) ไทยจะถูกเรียกเก็บอัตราภาษี 36% สำหรับสินค้าไทยทุกชนิดที่ส่งไปยังสหรัฐฯ
ในจดหมายยังระบุอีกว่า อัตราภาษี 36% ยังน้อยไปเมื่อเทียบกับสถานการณ์จริง ในความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสหรัฐกับไทย และย้ำว่า หากไทยเลือกที่จะขึ้นภาษีตอบโต้สหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็นตัวเลขใดก็ตาม สหรัฐฯ จะขึ้นภาษีตอบโต้ โดยบวกเพิ่มไปจาก 36% อีก
1. ประเทศไทยยังคงโดนภาษีสูงถึง 36% โดย “ไม่มีการปรับลด” เมื่อเทียบกับหลายประเทศที่ได้ เจรจาและลดภาษี ได้สำเร็จ เช่น กัมพูชา (ลด 13%) ลาว เมียนมา บังคลาเทศ ฯลฯ (ไทยอาจยัง เจรจาไม่สำเร็จ หรือไม่ได้ยื่นข้อเสนอที่โดนใจสหรัฐฯ ภายในกรอบเวลา)
2. อัตราไทยอยู่ในกลุ่ม “สูงสุดลำดับต้น ๆ” มีเพียง 3 ประเทศที่โดนภาษีสูงกว่าไทย คือ กัมพูชา (เดิม), ลาว, เมียนมา เทียบกับญี่ปุ่น มาเลเซีย เกาหลีใต้ ซึ่งมีอัตราเพียง 24–25%