วิโรจน์ ย้อนถามหัวหน้าเพื่อไทย จะเก็บทุนสีเทาไว้ตั้งรัฐบาล?

วิโรจน์ ย้อนถามหัวหน้าเพื่อไทย จะเก็บทุนสีเทาไว้ตั้งรัฐบาล?

View icon 100
วันที่ 5 พ.ย. 2568 | 18.49 น.
ข่าวออนไลน์7HD
แชร์
5 พ.ย. 68 นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส. บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคประชาชน กล่าวถึงกรณีที่หัวหน้าพรรคเพื่อไทย เตือนถึงแคมเปญรณรงค์หาเสียงของพรรคประชาชน “มีเราไม่มีเทา” ให้ระวังในตอนจัดตั้งรัฐบาลว่า แล้วพรรคเพื่อไทย เขาจะเอาเทาหรือ ถ้าเพื่อไทยไม่เห็นด้วย ก็ทำแคมเปญได้ว่า “มีเพื่อไทยก็มีเทา” ตนคิดว่า เทาของเรา คือในเรื่องของสิ่งผิดกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นการค้ามนุษย์ ยาเสพติด สแกมเมอร์การหลอกลวงออนไลน์ ตนเรียกว่า ธุรกิจผิดกฎหมายต่าง ๆ ที่คิดว่า เงินสกปรกเหล่านี้ ทุนสีเทาเหล่านี้ ไม่ควรจะเคลื่อนเข้ามา ยึดกลุ่มประเทศของเรา ผ่านกลไกทางการเมือง

ไม่ว่าจะเป็นการเอานักการเมืองเข้ามาเป็นเครือข่าย จนกลายเป็นนักการเมืองสีเทา เงินสกปรกไปซื้อเสียง ไปซื้อตำแหน่งให้กับข้าราชการระดับสูง เอาข้าราชการระดับสูงมาเป็นลูกสมุน เป็นมือเป็นไม้ในการรับใช้ และเอานักการเมืองสีเทา ไปผลิตนโยบายเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับทุนสีเทา ที่เอาเงินมายึดประเทศผ่านการซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ หรือเข้ามาลงทุน ในธุรกิจต่าง ๆ หรือเอาเงินที่สกปรกต่าง ๆ เหล่านี้ มาซื้อธุรกิจเพื่อฟอกเงิน แล้วตัดราคา ทุ่มตลาดเพื่อทำลายธุรกิจของคนไทย

ตนขอตั้งคำถามกลับไปยัง หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ที่จริง ๆ คิดว่า ท่านจะต้องมีความตระหนักมากกว่าใคร เพราะเคยดำรงตำแหน่งถึงรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ที่รู้ผิดร้ายและภัยความมั่นคงของทุนสีเทาข้ามชาติเป็นอย่างดี

ดังนั้นต้องถามท่านกลับ และให้หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ประกาศนโยบายมาเลย “มีเพื่อไทยมีเทาแน่นอน” ก็จะให้ประชาชนเลือกว่า ถ้าเลือกเพื่อไทย ก็จะเจอทุนเทายึดประเทศ เข้ามาทำลายธุรกิจไทย เข้ามาสร้างนักการเมืองสีเทา ซึ่งข้าราชการสีเทา และบ่อนทำลายประเทศ ถ้าชอบแบบนี้ก็เลือกเพื่อไทย แต่ถ้าเกิดต้องการนโยบายที่ดีที่ชัดเจน ที่ป้องกันประเทศเราจากทุนสกปรก คุ้มครองธุรกิจของคนไทย คุ้มครองประชาชนคนไทย ไม่ต้องเผชิญหน้ากับโจรสแกมเมอร์ ที่หลอกลวงเอาเงินของคนไทยไปปี ๆ หนึ่ง กว่า 115,300 ล้าน ถูกล้วงกระเป๋าทุกวัน และ 1 ใน 5 คือ ผู้สูงอายุ คือ พ่อแม่ปู่ย่าตายายของพวกเรา และมีการประเมินว่า โดยเฉลี่ยต่อรายที่โดน คือกว่า 100,000 บาทเศษ เป็นกลุ่มทำงาน 70,000 กว่าบาท แต่ถ้าโฟกัสเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุ ก็ 400,000 กว่าบาท ดังนั้น สแกมเมอร์มีกลุ่มเป้าหมายไปที่ ปู่ย่าตายายของเรา ที่เขาไม่สามารถ หารายได้ในยามบั้นปลาย ต้องสิ้นเนื้อประดาตัว ตนจึงขอตั้งคำถามว่าพรรคเพื่อไทย จะเก็บทุนสีเทาเอาไว้ร่วมรัฐบาลหรือ

นายวิโรจน์ กล่าวต่อว่า การที่พรรคออกแคมเปญแบบนี้ ตนไม่ได้อยากให้เรียกว่า เป็นแคมเปญ แต่อยากให้เป็นสามัญสำนึกของนักการเมืองที่พึงจะมี เพราะเวลาเรียกว่าแคมเปญนั้นรู้สึกว่า เบาไป แต่เป็นสามัญสำนึกที่รับผิดชอบทางการเมือง ที่ประชาชนมอบให้ ซึ่งคำว่า “เทา” ของเราไม่ได้พุ่งเป้าว่าเป็นนาย ก.หรือนาย ข. แต่หมายถึงระบบป้องกันที่ไม่ให้ทุนสีเทาเข้ามาเป็นภัยร้ายกับประชาชนและผู้ประกอบการ ดังนั้นถ้าหากเราจะต้องจัดตั้งคณะรัฐมนตรี ก็จะต้องมีนโยบายในเรื่องนี้ที่ชัดเจนว่า จะทำอย่างไรเพื่อป้องกันและปราบปรามทุนสีเทา สแกมเมอร์เหล่านี้ให้สิ้นซาก ซึ่งแบบนี้พรรคเพื่อไทยไม่เอาหรือ ถ้าเรายื่นเงื่อนไขแบบนี้ในการจัดตั้งรัฐบาล หรือเพราะพรรคเพื่อไทยเกรงใจว่า ถ้าสาวไปสาวมา กลัวว่าจะเจอใครที่เป็นกลุ่มก้อนของตัวเอง

พรรคประชาชนยืนยันว่า เราจะต้องดำเนินการเรื่องนี้อย่างตรงไปตรงมา ถ้าเจอใครก็ต้องจัดการ ต่อให้คนคนนั้นที่เราจะเคยรู้จัก ซึ่งในแวดวงการเมือง อาจจะมีการโยงเส้นทางทางการเงิน แล้วจะไปเจอใครที่บังเอิญรู้จัก หรือเพิ่งจะมารู้ว่าคน คนนี้ทำธุรกิจ ที่เกี่ยวกับภัยร้ายแบบนี้ ก็ต้องบังคับใช้กฎหมายอย่างตรงไปตรงมา

เมื่อถามถึงนโยบายของพรรคประชาชนเป็นอย่างไร หลังพรรคเพื่อไทย ชูนโยบายล้างหนี้และบอกว่ามีนโยบายล้ำหน้ากว่าพรรคอื่นไปมาก นายวิโรจน์ กล่าวว่า ต้องรอการพิจารณาอย่างรอบคอบ ซึ่งการจัดการกับทุนเทา และสแกมเมอร์ถือว่าเป็นรากฐานสำคัญ ถ้าจัดการไม่ได้และคนไทยถูกล้วงกระเป๋าทุกวัน วันละกว่า 300,000,000 บาท รวมถึงต้องมีนโยบายแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือน และต้องทำให้มั่นใจได้ก่อนว่า ดอกเบี้ย และสัญญาที่ประชาชนทำไว้กับสถาบันการเงินมีความเป็นธรรม จากนั้นก็จะต้องมีการส่งเสริมการลงทุน และดึงเงินจากต่างประเทศ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมและนวัตกรรม รวมถึงส่งเสริมนักลงทุนของไทยให้สามารถเติบโตได้

นอกจากนี้ จะต้องมีการลดค่าใช้จ่ายให้ประชาชนอย่างเป็นธรรม เช่นค่ารักษาพยาบาล เป็นต้น ซึ่งถ้าเราทำเรื่องเหล่านี้ได้พร้อมกัน นี่คือการคิดอย่างเป็นระบบ แต่ขอให้อดใจรอทีมเศรษฐกิจของประชาชน ตนไม่อยากเปรียบเทียบว่าใครก้าวหน้ากว่าหรือไม่ก้าวหน้ากว่า แต่เป็นเรื่องของใครคิดรอบคอบหรือไม่รอบคอบ พร้อมยืนยันว่า พรรคประชาชนไม่เคยคิดนโยบายเศรษฐกิจที่เอื้อให้กับนายทุน หรือจะต้องไปเกรงใจในทุนสีเทากลุ่มใด

เมื่อถามว่า มองปรากฏการณ์ความขัดแย้งระหว่างพรรคกล้าธรรม และพรรคประชาช นอย่างไร นายวิโรจน์ กล่าวว่า แต่ละคนต้องตรวจสอบซึ่งกันและกัน เป็นเรื่องที่ดีของประชาชนที่จะได้ข้อมูลที่โปร่งใส ซึ่งตนมั่นใจใน น.ส.รักชนก ศรีนอก สส.กรุงเทพฯ พรรคประชาชน อยู่แล้ว เพราะรู้จักและทำงานร่วมกันมา ซึ่งเขาพร้อมเปิดอยู่แล้ว และนายไผ่ ลิกค์ สส.กำแพงเพชร และเลขาธิการพรรคกล้าธรรม ก็มาร่วมเปิดเผยด้วย โดยหากพบอะไรที่เป็นข้อบกพร่องที่อธิบายได้ ก็แก้ไขปัญหากันไป แต่หากเกี่ยวข้องกับปัญหาอาชญากรรม และทำธุรกิจผิดกฎหมายก็ต้องกวดขันกันไป

“ถ้าเกิดแช็ตหลุดออกไป อย่างมากก็มีการแซวเรื่องลิเวอร์พูลบ้าง แซวแมนยูบ้าง และเป็นข้อมูลการทำงานที่เปิดเผยได้อยู่แล้ว แต่อาจจะเป็นคำที่เป็นกันเองหน่อย อาจจะมีการใช้คำพูดแบบชื่อย่อบ้าง หรือเป็นคำพูดลำลองสบาย ๆ ตามที่เปิดเผย ผมก็ดูอยู่ ไม่ได้มีเนื้อหาสาระอะไรที่ผิดกฎหมาย“ นายวิโรจน์ กล่าว

เมื่อถามว่า การเปิดแคมเปญ “มีเราไม่มีเทา” เป็นการบีบให้พรรคภูมิใจไทยเลือกระหว่าง พรรคประชาชนและพรรคกล้าธรรม ในการเลือกตั้งสมัยหน้าหรือไม่ นายวิโรจน์ ระบุว่า ก่อนจะตอบคำถามดังกล่าว รู้สึกสงสัยกันหรือไม่ว่า ทำไมเปิดแคมเปญนี้ แล้วมีคนดิ้นเยอะจังเลย ถ้าไม่เทาก็อยู่เฉย ๆ เพราะเราไม่ได้บอกว่า ใครคือ เทา ใครคือ ดำ ซึ่งตอนนี้มีคนเดือดร้อนกันเยอะไปหมด ถ้าไม่เทาก็ไม่ต้องกลัว ถ้าไม่เทาต่างคนก็ต่างทำงานกันต่อ ตนก็พร้อมถูกตรวจสอบ ถ้าสังเกตดูพรรคประชาชนไม่เคยจับผิด หรือหยิบยกเอาเรื่องเล็ก ๆ หรือเอานิติสงครามไปนั่งไล่ว่า ผิดระเบียบ มีใบหรือไม่ ความผิดพลาดเชิงธุรการเราไม่มี แต่เราจะจับผิดแต่เรื่องใหญ่ เชื่อมโยงระหว่างหลักฐานกับ หลักฐาน และทำแต่เรื่องที่มีนัยยะสำคัญต่อเศรษฐกิจ และความมั่นคงของประเทศ

“ถ้าท่านใดไม่เทา ท่านก็เก็บอาการนิดนึง อยู่เฉย ๆ ยืนตรง ๆ ก็ไม่ต้องสั่น ไม่ใช่มือสั่นระริกระรี้ เดี๋ยวคนเขาจะตั้งข้อสังเกต ตั้งคำถามอีก“ นายวิโรจน์ กล่าว

เมื่อถามว่า มีคนตั้งข้อสังเกตได้ว่า ตรวจสอบแต่พรรคกล้าธรรม ไม่ตรวจสอบพรรคภูมิใจไทย นายวิโรจน์ กล่าวว่า เราไม่เคยไปโฟกัสที่พรรคกล้าธรรม เราพูดภาพรวมว่า ต้องตรวจสอบตามระบบ ก็งงว่า ทำไมพรรคกล้าธรรมถึงตอบสนอง มันมีปฏิกิริยาของพรรคกล้าธรรมเอง พวกเราไม่ได้กล่าวหา จนถึงวันนี้ก็ยังไม่ได้กล่าวหา แต่เป็นการตั้งข้อสังเกต ซึ่งถ้าไม่มีอะไร ท่านก็อย่ามีปฏิกิริยาตอบสนอง มันไม่ใช่อยู่ดี ๆ แล้วเราจินตนาการปักธูปดอกเดียว แล้วจินตนาการว่า เป็นพ่อปู่ทรงนาม บอกมาว่า อย่างนั้นอย่างนี้ มันก็ไม่ใช่ ซึ่งตนเข้าใจว่า น.ส.รักชนก ไม่เคยพูดชื่อย่อบ่อยครั้ง หากจะพูดก็ปรากฏเป็นข่าวมาแล้วทั้งนั้น ซึ่งม่ใช่แค่พรรคประชาชนตั้งข้อสังเกต แต่เป็นการตั้งข้อสังเกตร่วมกันจากประชาชน ลองไปดูการแสดงความคิดเห็นในโซเชียลมีเดีย

ข่าวที่เกี่ยวข้อง