สปสช.เตรียม 5 แนวทางเสนอ สธ.ลดภาระงานของทีมแพทย์

สปสช.เตรียม 5 แนวทางเสนอ สธ.ลดภาระงานของทีมแพทย์

View icon 74
วันที่ 8 มิ.ย. 2566 | 16.46 น.
ข่าวออนไลน์7HD
แชร์
สปสช.เตรียม 5 แนวทางช่วยลดภาระแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ ดึงเทคโนโลยีสารสนเทศช่วยจัดระบบใหม่  ใช้สายด่วน 1330 กระจายและประสานหาเตียงผู้ป่วยไป รพ.เอกชน จัดระบบห้องฉุกเฉินใหม่ 

วันนี้ (8 มิ.ย. 66)  นพ.จเด็จ ธรรมธัชอารี เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า การดูแลประชาชนกว่า 48 ล้านคนให้เข้าถึงการรักษาตามสิทธิบัตรทอง เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้แพทย์และบุคลากรทางการแพทย์มีภาระงานเพิ่มขึ้น จึงเตรียม 5 แนวทางเสนอกระทรวงสาธารณสุขลดภาระงานของแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์ โดยดึงเทคโนโลยี นวัตกรรมใหม่ ๆ เข้ามาช่วยจัดการระบบที่เชื่อมโยงกับงานด้านสิทธิหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ

ชง 5 แนวทางลดภาระงานบุคลากรทางการแพทย์

1.ยกเลิกการคีย์ข้อมูลหรือบันทึกข้อมูลในระบบเพื่อการเบิกจ่ายเงินค่าบริการทางการแพทย์กับ สปสช. โดยจะนำร่องในโรงพยาบาลศูนย์และโรงพยาบาลทั่วไปทุกแห่ง และสามารถดำเนินการได้ทันทีหากโรงพยาบาลมีความพร้อมในการเชื่อมต่อระบบกับ สปสช. โดยจะเป็นการเชื่อมโยง API (Application Programming Interface) หรือการเชื่อมต่อระบบของทางโรงพยาบาลโดยตรง ทั้งนี้การบันทึกข้อมูลในระบบนั้นมีประโยชน์ในการตรวจสอบการเบิกจ่าย การนำข้อมูลมาใช้วางแผนเพื่อการพัฒนาในด้านต่างๆ

2.ให้ สายด่วน สปสช. 1330 ช่วยกระจายผู้ป่วยใน (IPD) ที่รอเตียงเพื่อการรักษาในโรงพยาบาล ซึ่งจุดนี้เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกิดความแออัดในโรงพยาบาลและอาจจะสร้างความกดดันให้กับแพทย์ได้  ซึ่งบริการนี้ สปสช.ได้เริ่มดำเนินการแล้วในพื้นที่กรุงเทพมหานครขณะนี้มีเตียงจากโรงพยาบาลเอกชนนอกระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติที่เข้ามาเป็นสถานพยาบาลกรณีเหตุสมควรตามมาตรา 7 พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2545 สำรองประมาณ 600 เตียงในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล ในส่วนของต่างจังหวัดนั้น หากข้อเสนอนี้ผ่านการหารือและตกลงร่วมกันกับกระทรวงสาธารณสุข สายด่วน สปสช. 1330 ก็จะทำหน้าที่กระจายผู้ป่วยในที่รอเตียงได้ได้ด้วย โดยกระจายไปยังโรงพยาบาลชุมชนและโรงพยาบาลเอกชนที่มีเตียงว่าง

3.ผลักดันนวัตกรรมบริการเพื่อลดการมาโรงพยาบาลโดยความร่วมมือกับหน่วยบริการต่างๆ ทั้งนี้ สปสช.ตั้งเป้าว่านวัตกรรมบริการสุขภาพวิถีใหม่นี้จะช่วยลดการมาโรงพยาบาลได้ร้อยละ 30 หรือ 60 ล้านครั้งต่อปี ซึ่งเป็นนวัตกรรมเพื่อลดความแออัดในโรงพยาบาล บริการบางรายการที่สามารถทำนอกโรงพยาบาลได้และมีหน่วยบริการอื่นที่มีความพร้อม ได้แก่ เจ็บป่วยเล็กน้อย 16 อาการรับยาที่ร้านพร้อมรับคำปรึกษาจากเภสัชกร ซึ่งจากการดำเนินการที่ผ่านมาพบว่าให้บริการผู้ป่วยไปแล้วว่า 1.4 แสนรายคิดเป็นจำนวนรับบริการกว่า 2.02 แสนครั้ง นอกจากนั้นยังมีผู้ป่วยโรคเรื้อรังรับยาที่ร้านยาใกล้บ้าน, จัดส่งยาและเวชภัณฑ์ทางไปรษณีย์, เจาะเลือดหรือตรวจแล็บใกล้บ้าน, กายภาพบำบัดที่คลินิกกายภาพบำบัด, บริการพยาบาลพื้นฐาน เช่นการทำแผลชนิดต่างๆ ที่คลินิกการพยาบาล, บริการแพทย์แผนไทย, บริการสาธารณสุขทางไกล (Telemedicine), บริการผ่าตัดวันเดียวกลับ (ODS), บริการผ่าตัดผ่านกล้องแผลเล็ก (MIS) และบริการเคมีบำบัดที่บ้านในผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่ (Home Chemotherapy)

4.สนับสนุนนโยบายห้องฉุกเฉินคุณภาพ เพื่อให้ห้องฉุกเฉินเป็นห้องฉุกเฉินจริงๆ คือ เป็น emergency room ไม่ใช่ everything room ตามนโยบายของกระทรวงสาธารณสุข โดยโรงพยาบาลจัดแยกบริการเป็น 2 ส่วน คือ “ห้องฉุกเฉินคุณภาพ” เพื่อดูแลผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต (สีแดง) และผู้ป่วยฉุกเฉินเร่งด่วน (สีเหลือง) มีการจัดห้องแยกเฉพาะ พร้อมอุปกรณ์และบุคลากรตามแนวทางการจัดบริการดูแลผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤต และ “ห้องบริการแยกจากห้องฉุกเฉิน” เป็นบริการสาธารณสุขสำหรับผู้ป่วยฉุกเฉินไม่รุนแรง กรณีมีเหตุสมควรและกรณีเจ็บป่วยทั่วไปที่เป็นความจำเป็นผู้มีสิทธิที่ต้องเข้ารับบริการนอกเวลาราชการ ซึ่งต้องมีห้องเพื่อบริการที่แยกจากห้องฉุกเฉิน พร้อมอุปกรณ์และบุคลากรทางการแพทย์ ขณะนี้มีหน่วยบริการ 129 แห่ง ได้ดำเนินการตามแนวทาง “บริการเจ็บป่วยฉุกเฉินคุณภาพ” ซึ่งเป็นข้อเสนอของกระทรวงสาธารณสุข เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดูแลผู้ป่วยอุบัติเหตุเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤต ฉุกเฉินเร่งด่วน และเพื่อให้ผู้ป่วยฉุกเฉินไม่รุนแรงกรณีมีเหตุสมควร หรือผู้เจ็บป่วยทั่วไปที่เป็นความจำเป็นของผู้มีสิทธิ มีสิทธิเข้ารับบริการนอกเวลาที่หน่วยบริการตามที่กำหนดโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย

5.ส่งเสริมให้ประชาชนดูแลตนเองหรือ self care โดย สปสช.ร่วมกับหน่วยบริการหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น เจ็บป่วยเล็กน้อยสามารถไปรับยาที่ร้านยาได้ หรือหากอยู่ในกรุงเทพฯ ใช้บริการการแพทย์ทางไกลหรือพบหมอออนไลน์พร้อมจัดส่งยาถึงบ้านกับแอปพลิเคชันสุขภาพ 4 แห่งที่เข้าร่วม ซึ่งเป็นการดูแลตนเองโดยไม่จำเป็นต้องไปที่โรงพยาบาล  และจะร่วมกับหน่วยบริการยังแจกถุงยางอนามัยและยาคุมกำเนิดเพื่อสนับสนุนให้ประชาชนป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์และการตั้งครรภ์ที่ไม่พึงประสงค์ การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกด้วย HPV DNA Test รวมถึงชุดตรวจมะเร็งปากมดลูกด้วยตัวเอง “HPV DNA Self Collection” ชุดตรวจเอชไอวีด้วยตนเอง การตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่ เป็นต้น

ข่าวที่เกี่ยวข้อง