ป.ป.ช. ชี้มูลความผิด "ศุภชัย โพธิ์สุ" คดีใบจองที่ดิน น.ส. 2

ป.ป.ช. ชี้มูลความผิด "ศุภชัย โพธิ์สุ" คดีใบจองที่ดิน น.ส. 2

View icon 60
วันที่ 25 เม.ย. 2567 | 11.14 น.
ข่าวออนไลน์7HD
แชร์
ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิด “ศุภชัย โพธิ์สุ” คดีใบจองที่ดิน น.ส. 2 ป่าดงพะทาย นครพนม  220 ไร่ ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรม ส่งศาลฎีกาพิจารณา

วันนี้ (25 เม.ย.67) นายนิวัติไชย เกษมมงคล เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เปิดเผยว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิด นายศุภชัย โพธิ์สุ และ สส.นครพนม ยึดถือครอบครองและเข้าทำประโยชน์ในที่ดิน น.ส. 2 หรือใบจอง ในโครงการจัดที่ดินผืนใหญ่แปลงป่าดงพะทาย ท้องที่อำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม โดยการซื้อที่ดินและไม่มีหลักฐานใบจองที่ดิน จำนวน 40 แปลง เนื้อที่ 220 ไร่

โดยข้อเท็จจริงจากการไต่สวน ปรากฏว่านายศุภชัย โพธิ์สุ ได้ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินต่อ ป.ป.ช. กรณีเข้ารับตำแหน่ง สส. นครพนม เมื่อวันที่ 22 ม.ค. 2551 กรณีเข้ารับตำแหน่ง รมช. เกษตรฯ เมื่อวันที่ 3 มิ.ย. 2552 และกรณีเข้ารับตำแหน่ง สส.นครพนม   เมื่อวันที่ 25 พ.ค. 2562 โดยแจ้งว่าครอบครองที่ดินประเภทใบจอง (น.ส. 2) ในท้องที่ตำบลพะทาย อำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม จำนวน 40 แปลง เนื้อที่รวม 220 ไร่

จากการตรวจสอบพบว่า เมื่อปี 2532 ถึงปี 2534 นายศุภชัย โพธิ์สุ ซึ่งเป็นผู้ไม่มีคุณสมบัติที่จะได้รับการจัดสรรที่ดินและเป็นผู้ไม่ได้รับการจัดสรรที่ดินและใบจองในโครงการจัดที่ดินผืนใหญ่แปลงป่าดงพะทาย ได้ซื้อที่ดินโดยทำสัญญาซื้อขายและสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินกับประชาชนผู้ได้รับจัดสรรที่ดินและได้รับใบจอง (น.ส. 2)  ให้เข้าทำประโยชน์ในที่ดินชั่วคราวในโครงการจัดที่ดินผืนใหญ่แปลงป่าดงพะทาย ท้องที่อำเภอท่าอุเทน จังหวัดนครพนม จำนวน 40 แปลง เนื้อที่รวม 220 ไร่ ทั้งที่ที่ดินดังกล่าวไม่สามารถโอนหรือซื้อขายเปลี่ยนมือได้  เว้นแต่ตกทอดโดยมรดก

หลังจากที่มีการส่งมอบใบจองและการครอบครองที่ดินให้นายศุภชัย  แล้วนายศุภชัยได้เข้าทำประโยชน์โดยปลูกต้นยางพาราเต็มพื้นที่ต่อเนื่องเรื่อยมา แม้ว่าผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนมจะมีคำสั่งให้ผู้ที่ได้รับการจัดที่ดินและใบจองเดิมสิ้นสิทธิในที่ดินและออกจากที่ดินและจำหน่ายสิทธิใบจอง  ตามมาตรา 32  แห่งประมวลกฎหมายที่ดินแล้ว  เมื่อวันที่ 16 ต.ค. 2556 วันที่ 5 ก.ย. 2565 และวันที่ 22 ก.ย. 2565  ภายหลังมาตรฐานทางจริยธรรมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญและผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดินและหัวหน้าหน่วยงานธุรการของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ พ.ศ. 2561 ใช้บังคับ   

การที่นายศุภชัย โพธิ์สุ ซึ่งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดนครพนม และยังดำรงตำแหน่งรองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่สอง มีหนังสือ เมื่อวันที่ 11 ก.ค. 2566 และวันที่ 12 ก.ค. 2566 ขอสละสิทธิครอบครองและใช้ประโยชน์ในที่ดินแปลงที่ผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนมได้มีคำสั่งจำหน่ายใบจองที่ดินดังกล่าว จึงไม่มีผลให้การยึดถือ ครอบครอง และทำประโยชน์ในที่ดินประเภทใบจอง (น.ส. 2) ซึ่งเป็นที่ดินของรัฐในโครงการจัดที่ดินผืนใหญ่แปลงป่าดงพะทาย   โดยการซื้อที่ดินและไม่มีหลักฐานใบจองที่ดิน (น.ส. 2) รวมทั้งไม่มีคุณสมบัติในการที่จะได้ที่ดินตามระเบียบว่าด้วยการจัดที่ดินเพื่อประชาชน ลงวันที่ 24 ส.ค.2498 ซึ่งไม่ชอบด้วยกฎหมายของนายศุภชัย โพธิ์สุ ไม่เป็นความผิดแต่อย่างใด

คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้ว มีมติว่าการกระทำของนายศุภชัย โพธิ์สุ เป็นการครอบครองที่ดินของรัฐเพื่อประโยชน์ของตนเอง โดยฝ่าฝืนกฎหมาย ไม่คำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวม และส่งผลกระทบต่อการบริหารจัดการทรัพยากรที่ดินและป่าไม้ของรัฐ   ทั้งยังเป็นการกีดกันผู้ที่ไม่มีที่ดินเป็นของตนเองหรือมีอยู่แล้วแต่เป็นจำนวนน้อยไม่พอเลี้ยงชีพ ก่อให้เกิดความเสื่อมเสียต่อเกียรติศักดิ์ของการดำรงตำแหน่ง รมช.เกษตรฯ และ สส. อันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง   ตามมาตรฐานทางจริยธรรมของตุลาการ ศาลรัฐธรรมนูญ และผู้ดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ รวมทั้งผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน และหัวหน้าหน่วยงานธุรการของศาลรัฐธรรมนูญและองค์กรอิสระ พ.ศ. 2561 และข้อบังคับ ว่าด้วยประมวลจริยธรรมของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและกรรมาธิการ พ.ศ. 2563 ให้เสนอเรื่องต่อศาลฎีกาเพื่อวินิจฉัยตาม พรป.ว่าด้วยการป้องกัน และปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 87 ต่อไป